ภาครัฐ-เอกชน ร่วมปั้น Ecosystem หนุนอุตสาหกรรมไทยเปลี่ยนผ่านสู่คาร์บอนต่ำ

นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวเสวนาในหัวข้อ “สร้างอุตสาหกรรมไทยยุคใหม่ เปลี่ยนผ่านสู่คาร์บอนต่ำ ยั่งยืน และการจัดการของเสียอย่างครบวงจร” ว่า ภาคอุตสาหกรรมเป็นกลไกขับเคลื่อนสำคัญของประเทศ ในการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ปัจจุบัน กนอ. มีนิคมฯ 79 แห่ง จึงจำเป็นต้องวางตำแหน่งตัวเองให้เป็นเครื่องมือหลักของประเทศในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยุคใหม่ โดยใช้โอกาสทางธุรกิจผสมผสานกับโอกาสด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม

ทั้งนี้ จุดแข็งของนิคมฯ คือการมีโครงสร้างพื้นฐาน มีบริษัทขนาดใหญ่จำนวนมาก มีเงินทุน และมีการกำกับดูแลอย่างเป็นระบบ กนอ. จึงวางแผนที่จะใช้พื้นที่นิคมฯ เป็นแลนด์ที่มีคุณภาพสูงและสะอาด พร้อมทั้งใช้กฎหมายและแซนด์บ็อกซ์ของกระทรวงฯ และ พ.ร.บ.กนอ. ในการทดลองเปิดให้เกิดการจัดการง่ายขึ้น

โดยโครงการนำร่องที่สำคัญ คือ การใช้แซนด์บ็อกซ์สำหรับการลดการใช้พลังงานทั้งหมด โดยใช้โซลูชันเทคโนโลยีต่าง ๆ มุ่งเน้นการจัดการกากภายในพื้นที่ เพื่อไม่ให้รั่วไหลออกไปภายนอกนิคมฯ ซึ่งเชื่อว่าการออกแบบนี้จะทำให้ประชาชนมั่นใจได้ว่า การใช้พื้นที่นิคมฯ นั้นมีความน่าเชื่อถือ

นายขวัญพัฒน์ สุทธิธรรมกิจ เจ้าหน้าที่อาวุโส ธนาคารโลก (ประจำประเทศไทย) (World bank) กล่าวว่า เรื่องเงินทุนเป็นปัจจัยสำคัญ เนื่องจากประเทศไทยต้องการเงินลงทุนจำนวนมากในการเปลี่ยนผ่าน โดยเงินกู้หรือเงินช่วยเหลือแบบให้เปล่านั้นไม่เพียงพอ

โดยธนาคารโลก มองว่า โจทย์ใหญ่ของประเทศไทย คือ การสร้าง Ecosystem ที่จะช่วยให้ไทยสามารถดึงเงินทุน Green Finance จากต่างประเทศ ซึ่งมีมูลค่ามหาศาลเข้ามาในประเทศให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้ การเปลี่ยนผ่านต้องอาศัยการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เช่น พ.ร.บ.โรงงาน และพ.ร.บ.วัตถุอันตราย ให้สอดคล้องกันและมองการณ์ไกลไปถึงอนาคต

ทั้งนี้ ธนาคารโลก เสนอว่า เรื่องความยั่งยืนเป็นโอกาสทางธุรกิจ ไม่ใช่แค่ภาระผูกพัน และไม่ใช่เป็นเพียงมาตรการจูงใจ โดยเฉพาะในบริบทของอุตสาหกรรม การบริหารจัดการที่ยั่งยืน เชื่อมโยงโดยตรงกับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

นายบุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และความยั่งยืน บมจ.ปตท. (PTT) มองว่า ประเด็นเรื่องการจัดการธุรกิจยั่งยืนเป็นเรื่องที่ทำมานานแล้ว แต่เป็นการทำด้วยความสมัครใจ แต่ปัจจุบันการจัดการต้องเปลี่ยนเป็นการคิดแบบบูรณาการที่คำนึงถึงเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคมไปพร้อมกัน

โดยปัจจัยที่เร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคือ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ กฎหมายที่เปลี่ยนไป (เช่น มาตรการการเก็บภาษีคาร์บอน) และเทคโนโลยีที่ดีขึ้น ทำให้การพัฒนาธุรกิจสีเขียวกลายเป็นโอกาส ซึ่ง ปตท. พยายามสร้างสมดุลระหว่างการเพิ่มพลังงานสีเขียว กับการลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจและต้นทุนของผู้ประกอบการ โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย

นายชูโชค ศิวะคุณากร กรรมการผู้จัดการ บริหารความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล และธุรกิจสัมพันธ์ บริษัท เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ จำกัด ระบุว่า การขับเคลื่อนไปสู่ความยั่งยืนประกอบด้วยหลายองค์ประกอบ อาทิ การเมือง ที่มีนโยบายต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ, ภาครัฐ ควรเน้นการส่งเสริมและจูงใจคนให้ทำความดี ไม่ใช่เน้นการลงโทษ, ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะบริษัทใหญ่ ต้องเป็นพี่เลี้ยงให้กับ SME ที่เป็นธุรกิจดั้งเดิม ซึ่งเป็นกำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักของประเทศ และภาคประชาชน ต้องให้คุณค่ากับงานสีเขียว และยอมรับผลิตภัณฑ์รีไซเคิลที่มีราคาสูงกว่าปกติเนื่องจากต้นทุนที่สูง เป็นต้น

น.ส.วศิมน เรืองเล็ก คณะทำงาน BCG Model สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ส.อ.ท. มีภารกิจหลักในการดูแลและแก้ปัญหาอุตสาหกรรมภายใต้กฎระเบียบใหม่ ๆ การขับเคลื่อน BCG Model ต้องอาศัยความร่วมมือและนโยบายภาครัฐที่สอดคล้อง ส.อ.ท. มุ่งเน้นการสร้างนวัตกรรม การลดกฎระเบียบ และการให้แรงจูงใจ สำหรับการจัดการของเสีย เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ มองว่า ความท้าทายที่เร่งด่วนที่สุดคือ กฎระเบียบใหม่ของสหภาพยุโรป (EU) ที่กำลังจะเข้ามาในปีหน้า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อ 10 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูงมาก กฎหมายเหล่านี้ บังคับให้ผู้ส่งออกต้องมีข้อมูลผลิตภัณฑ์ละเอียด เช่น องค์ประกอบ Repair/ Reuse และการใช้พลังงาน/น้ำในการผลิต

น.ส.วศิมน กล่าวว่า ข้อมูลการจัดเก็บและรีไซเคิลของเสียในไทย ยังไม่เพียงพอสำหรับการส่งออก การแก้ปัญหาเหล่านี้ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันอย่างมีเป้าหมายร่วมกันของหลายกระทรวง โดย ส.อ.ท. กำลังผลักดันแนวคิด End-of-Waste เพื่อให้ของเสียกลายเป็นวัตถุดิบใหม่ สร้างมูลค่า และกระตุ้นให้ผู้บริโภคที่ใช้ผลิตภัณฑ์รีไซเคิลได้รับสิทธิประโยชน์ด้วย

นายธนาธร ตรงสิทธิวิทู ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมการจัดการเพื่อสิ่งแวดล้อม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ปัจจัยขับเคลื่อนความยั่งยืนที่แท้จริงคือ พวกเราทุกคนที่ไม่อยากสร้างภาระให้คนรุ่นหลัง ทั้งนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมการจัดการกากฯ เป็นส่วนสำคัญในระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยมีมูลค่าตลาดการจัดการกากอุตสาหกรรมและขยะชุมชนรวมกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดขึ้น ทำให้ปริมาณกากอุตสาหกรรมที่ถูกรายงานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ตาม ปัญหาคือกฎหมายที่มีอยู่มากมายและซับซ้อน กำลังควบคุมคนดีให้ยิ่งอยู่ยาก ขณะที่โรงงานเถื่อนหรือผู้ประกอบการที่ไม่ดีกลับหาไม่เจอ ปัญหาสำคัญที่กลุ่มฯ ต้องการการสนับสนุนคือ ความล่าช้าในการออกใบอนุญาตจากภาครัฐ ซึ่งค้างอยู่หลายร้อยใบเป็นเวลานาน ซึ่งความล่าช้าดังกล่าว ทำให้ผู้ประกอบการที่ดีไม่สามารถขยายกิจการได้

ดังนั้น เรียกร้องให้ภาครัฐทบทวนนโยบายและกฎหมายอย่างจริงจังและจริงใจ เร่งกลไกการอนุญาต เพื่อให้คนดีสามารถเติบโตและเข้าสู่ระบบได้อย่างถูกต้อง

นางปิยธิดา ศุภรัตนชาติพันธุ์ นิติกรชำนาญการพิเศษ กรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวเสวนาในหัวข้อ “Rethinking Industrial Waste มุมมองจาก ร่าง พ.ร.บ.กากอุตสาหกรรม โอกาสสร้างระบบจัดการของเสียอย่างยั่งยืน” โดยเปิดเผยถึงความคืบหน้า และสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.จัดการกากอุตสาหกรรมว่า มีเป้าหมายในการแก้ปัญหาการจัดการกากอุตสาหกรรมในประเทศให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และต้องการให้กฎหมายฉบับนี้ เป็นแรงจูงใจแก่ผู้ประกอบการมากกว่าที่จะเป็นภาระ

โดยกระทรวงอุตสาหกรรม พยายามผลักดันร่างกฎหมายฉบับนี้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมองว่าเป็นกฎหมายที่มีประโยชน์ต่อการจัดการกากอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง และครบวงจร

สำหรับเหตุผลความจำเป็นในการผลักดันกฎหมายใหม่ การผลักดันร่าง พ.ร.บ.จัดการกากอุตสาหกรรม มีที่มาจากหลายปัจจัย อาทิ

  • ปัญหากากอุตสาหกรรมสะสม: ปัญหาการสะสมของกากอุตสาหกรรมมีจำนวนมาก ซึ่งถือเป็นปัญหาระดับประเทศ ทำให้การจัดการกากยังไม่มีประสิทธิภาพ
  • ขาดการบูรณาการทางกฎหมาย: กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการสิ่งแวดล้อมมีหลายฉบับ และหน่วยงานรัฐขาดการบูรณาการในการจัดการร่วมกัน ทำให้ผู้ประกอบการสับสนในการปฏิบัติงาน และการบังคับใช้กฎหมายขาดประสิทธิภาพ
  • สนับสนุนการรีไซเคิลและลงทุน: เพื่อช่วยเหลือโรงงานที่ต้องการปรับปรุงเทคโนโลยีและประสิทธิภาพในการรีไซเคิลของเสียบางชนิดในประเทศ ลดการส่งไปต่างประเทศ แต่มีข้อจำกัดด้านเงินลงทุน
  • แนวโน้มโลกสีเขียว: อุตสาหกรรมไทยจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันต่อแนวโน้มโลกที่ทุกอย่างต้องเป็นสีเขียว
  • มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี : แนวโน้มของโลกที่ทุกอย่างต้องมุ่งสู่ Net Zero ทำให้บางประเทศนำประเด็นเหล่านี้มาเป็นมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี

สำหรับโครงสร้างของกฎหมาย เป็นการร่างกฎหมายขึ้นใหม่ทั้งฉบับ จำนวน 143 มาตรา ประกอบด้วยบททั่วไป, บทเฉพาะกาล และ 7 หมวด ได้แก่ 1. การจัดการกากอุตสาหกรรม 2. การเยียวยาความเสียหายเบื้องต้น และการประกันภัย 3. การกำกับดูแล 4. หน้าที่ความรับผิดทางแพ่ง 5. นโยบายส่งเสริมการกำจัดกากอุตสาหกรรม 6. กองทุนกากอุตสาหกรรมยั่งยืน และ 7. บทกำหนดโทษ

โดยสิ่งที่กฎหมายควบคุม คือ 1. กากอุตสาหกรรม (ตามบทนิยาม ม.3) ได้แก่ 1.1 ของเสียจากโรงงาน/สถานประกอบการอุตสาหกรรม (ที่ไม่ใช่โรงงาน) 1.2 ขยะอิเล็กทรอนิกส์ 1.3 ซากรถยนต์ และ 2. บุคคล ที่กฎหมายควบคุม ได้แก่ 2.1 สถานประกอบการอุตสาหกรรม/ผู้ก่อกำเนิด/ผู้ครอบครอง/ ผู้ใช้ประโยชน์ 2.2 ผู้รวบรวม/ผู้ขนส่ง/ผู้กำจัด/สถานที่รวบรวม/ผู้นำเข้า

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ต.ค. 68)