TTB ตรึงกำไร Q3/68 ยืนทรงตัวแม้รายได้กดดัน คุม NPL ต่ำ 2.9% อัดฉีดช่วยลูกหนี้กว่า 4 หมื่นลบ.

นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทยธนชาต [TTB] กล่าวว่า ผลการดำเนินงานและแนวโน้มกำไรในไตรมาส 3/68 และรอบ 9 เดือนของปี 68 ในภาพรวมถือว่าเป็นไปตามเป้าหมาย แต่ยังคงสะท้อนให้เห็นถึงแรงกดดันด้านรายได้จากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ทิศทางดอกเบี้ยนโยบายขาลง รวมทั้งการปรับลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยเหลือลูกค้า โดยธนาคารยังคงมุ่งเน้นการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนทางการเงิน ต้นทุนการดำเนินงาน รวมทั้งจัดการต้นทุนความเสี่ยงหรือค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองอย่างรอบคอบ เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถรักษาแนวโน้มของผลการดำเนินงานควบคู่กับการมีกันชนป้องกันความเสี่ยงที่แข็งแกร่ง

จากกลยุทธ์การเติบโตสินเชื่อที่มีคุณภาพ การแก้หนี้เชิงรุก และการช่วยเหลือลูกค้าผ่านโครงการต่างๆ รวมทั้งโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ส่งผลให้พอร์ตสินเชื่อมีคุณภาพดีขึ้น ลูกหนี้กลุ่มเปราะบางสามารถกลับมาชำระหนี้ได้และตกเป็นหนี้เสียน้อยลงเป็นผลให้หนี้เสียมีแนวโน้มทรงตัว โดยอยู่ที่ระดับ 39,000 ล้านบาท ในช่วง 4 ไตรมาสที่ผ่านมา ขณะที่อัตราส่วนหนี้เสียอยู่ต่ำกว่า 2.9% มาโดยตลอดเป็นไปกรอบตามเป้าหมาย

จากปัจจัยพื้นฐานด้านคุณภาพสินทรัพย์ที่มีเสถียรภาพ ค่าใช้จ่ายตั้งสำรองฯ จากการดำเนินงานปกติ (Normal Provision) จึงมีแนวโน้มลดลง อย่างไรก็ดีเมื่อคำนึงถึงแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ทีทีบีจึงพิจารณาตั้งสำรองฯ พิเศษหรือ Management Overlay เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ค่าใช้จ่ายตั้งสำรองฯ โดยรวมยังคงอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับภาวะปกติ สะท้อนได้จากต้นทุนความเสี่ยง (Credit Cost) รอบ 9 เดือน ปี 68 อยู่ที่ 142 bps เทียบกับก่อนวิกฤตโควิด-19 ที่ 125 bps ในปี 62 โดยผลจากการตั้งสำรองฯ ในระดับสูงหนุนให้อัตราส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ หรือ Coverage Ratio อยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 151%

การดำเนินการดังกล่าวตอกย้ำแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบและความมุ่งมั่นของทีทีบีในการปกป้องมูลค่าของผู้ถือหุ้นจากความเสี่ยงเชิงลบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ขณะที่การบริหารการใช้เงินทุนเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นทั้งในระยะสั้นและระยะยาวยังคงเป็นได้ตามแผนที่วางไว้ ไม่ว่าจะเป็นการรักษาอัตราการจ่ายเงินปันผลในระดับสูง โครงการซื้อหุ้นคืนระยะ 3 ปี ในช่วงปี 68-70 และการสร้างการเติบโตจากภายนอก (Inorganic Growth) ซึ่งรวมถึงแผนการเข้าซื้อหุ้นในบริษัท TLeasing เพื่อเพิ่มศักยภาพด้าน Car และ Salaryman Ecosystem ของธนาคาร

สำหรับพันธกิจต่อลูกค้า เรายังคงเดินหน้าให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ผ่านหลากหลายโครงการ เพื่อให้ครอบคลุมทั้งกลุ่มเปราะบางและลูกค้าที่มีประวัติดี โดยในส่วนของโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ณ สิ้นไตรมาส 3/68 มีลูกค้าสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ สินเชื่อบุคคล และสินเชื่อ SMEs เข้าร่วมโครงการทั้งเฟส 1 และเฟส 2 แล้วกว่า 71,000 ราย หรือคิดเป็นยอดสินเชื่อราว 40,000 ล้านบาท

ด้านโครงการ “รวบหนี้” ซึ่งเป็นโครงการที่ธนาคารดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง และมีลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการกว่า 62,450 ราย เพิ่มขึ้นจาก 37,470 ราย ในปีที่แล้ว และสามารถช่วยลูกค้าลดภาระดอกเบี้ยไปได้กว่า 2,700 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีโครงการ “ผ่อนดี มีรางวัล” สำหรับกลุ่มลูกค้าสินเชื่อมีวินัยทางการเงินและมีประวัติการผ่อนชำระอย่างสม่ำเสมอ ครอบคลุมทั้งสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ และสินเชื่อบุคคล

ทั้งนี้ ด้วยแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังคงเต็มไปด้วยปัจจัยเสี่ยง ทีทีบีจึงยังคงเน้นย้ำการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบต่อไป ควบคู่ไปกับการเปลี่ยนแปลงองค์กร (Transformation) เพื่อสร้างแหล่งรายได้ในรูปแบบใหม่ ๆ ปรับปรุงโครงสร้างต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และมุ่งสู่เป้าหมายระยะยาวในการเป็น Humanized Digital Banking ในประการสำคัญ ธนาคารยังคงเดินหน้าให้ความช่วยเหลือลูกค้าผ่านโครงการแก้หนี้ต่าง ๆ และสนับสนุนแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) เพื่อให้ลูกค้ามีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น

ผลการดำเนินงานผลประกอบการไตรมาส 3/68 และงวด 9 เดือน ของปี 68 ธนาคารและบริษัทย่อยรายงานกำไรสุทธิ 5,299 ล้านบาท ในไตรมาส 3/68 ทรงตัวจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน รวม 9 เดือน ปี 68 มีกำไรสุทธิ 15,399 ล้านบาท ลดลง 4% โดยยังคงเน้นย้ำการบริหารจัดการด้านต้นทุนเพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไร ด้านคุณภาพสินทรัพย์มีเสถียรภาพ อัตราส่วนหนี้เสียอยู่ที่ 2.81% ต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย โดยธนาคารยังคงตั้งสำรองฯพิเศษเพิ่มเติมจากระดับปกติ เพื่อคงอัตราส่วนสำรองฯต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพในระดับสูงที่ 151% สอดคล้องกับพันธกิจต่อผู้ถือหุ้นในการรักษามูลค่าของผู้ถือหุ้นจากความเสี่ยงในอนาคต ด้านพันธกิจช่วยเหลือลูกค้ายังคงเดินหน้าช่วยเหลือลูกค้าแก้หนี้ผ่านหลากหลายโครงการ ครอบคลุมทั้งกลุ่มเปราะบางและลูกค้าประวัติดี

ด้านสินเชื่อ ณ สิ้นไตรมาส 3/68 อยู่ที่ 1,198 พันล้านบาท ชะลอลง 0.7% จากไตรมาส 2/68 (QoQ) และ 3.5% จากสิ้นปี 67 (YTD) เป็นผลจากกลยุทธ์การเติบโตสินเชื่ออย่างรอบคอบเพื่อให้มั่นใจถึงคุณภาพพอร์ตสินเชื่อ ทั้งนี้ สินเชื่อกลุ่มเป้าหมายยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง นำโดยสินเชื่อบ้านแลกเงิน สินเชื่อเล่มแลกเงิน และบัตรเครดิต หนุนโดยกลุ่มลูกค้าที่มีคุณภาพภายใต้ Ecosystem ของธนาคาร ได้แก่ กลุ่มคนมีบ้าน คนมีรถ พนักงานเงินเดือน และลูกค้า Wealth

ส่วนเงินฝากอยู่ที่ 1,270 พันล้านบาท ลดลง 1.5% QoQ และ 4.4% YTD สอดคล้องกับทิศทางสินเชื่อและแผนบริหารสภาพคล่อง จากการลดลงส่วนใหญ่มาจากกลุ่มเงินฝากประจำระยะยาวที่ครบกำหนด ขณะที่เงินฝากกลุ่มบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศและเงินฝากไม่ประจำ ttb no fixed ยังคงขยายตัวได้ดีหนุนโดยกลยุทธ์การขยายฐานลูกค้า

Wealth ส่งผลให้ด้านอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (LDR) ซึ่งสะท้อนสถานะสภาพคล่องยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 94% ยังคงสร้างความยืดหยุ่นในการบริหารต้นทุนทางการเงินในระยะถัดไป

ในด้านรายได้ รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยในไตรมาส 3/68 เพิ่มขึ้น 7.4% QoQ หนุนโดยรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจแบงก์แอสชัวรันส์ และการขายกองทุนรวม นอกจากนี้ยังมีการรับรู้รายได้ค่าธรรมเนียมจากบริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต ในฐานะบริษัทย่อย อย่างไรก็ดีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง 2.6% QoQ ส่งผลให้รายได้จากการดำเนินงานรวมในไตรมาส 3/68 อยู่ที่ 16,313 ล้านบาท ชะลอลง 0.4% QoQ ภาพรวม 9 เดือน รายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ 49,248 ล้านบาท ลดลง 5.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY)

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอยู่ที่ 7,403 ล้านบาท ในไตรมาส 3/68 เพิ่มขึ้น 1.8% QoQ รวมเป็น 21,771 ล้านบาท สำหรับรอบ 9 เดือน ปี 68 ซึ่งลดลง 0.8% YoY ด้านอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้รอบ 9 เดือน อยู่ที่ 44% ยังคงเป็นไปตามเป้าหมาย สะท้อนผลจากการเน้นย้ำการมีวินัยด้านค่าใช้จ่ายและการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง

ด้านค่าใช้จ่ายตั้งสำรองฯ มีจำนวน 3,980 ล้านบาท ในไตรมาส 3/68 ลดลง 7.3% QoQ รวม 9 เดือน ปี 68 ตั้งสำรองฯ ไปแล้วทั้งสิ้น 12,854 ล้านบาท แม้ลดลง 15.2% จากปีก่อนหน้า แต่ยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับภาวะเศรษฐกิจปกติ หลังจากหักสำรองฯ และภาษี ธนาคารมีกำไรสุทธิในไตรมาส 3 ปี 68 ที่ 5,299 ล้านบาท ทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิ 9 เดือน ปี 68 อยู่ที่ 15,399 ล้านบาท ลดลง 4.0%

ท้ายสุดด้านฐานะเงินกองทุน ยังคงอยู่ในระดับสูงและมีเสถียรภาพ โดยอัตราส่วนเงินกองทุนรวม (CAR) และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Tier 1) ณ สิ้นไตรมาส 3/68 อยู่ที่ 19.9% และ 17.9% ตามลำดับ ยังคงสูงเป็นลำดับต้นๆของอุตสาหกรรม และสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารกลุ่ม D-SIBs ที่ธปท.กำหนดไว้ที่ 12.0% สำหรับ CAR และ 9.5% สำหรับ Tier 1

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 ต.ค. 68)