
นายเบญจรงค์ สุวรรณคีรี ว่าที่ผู้ช่วย รมว.คลัง กล่าวในงานเสวนาสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย “4 เดือน: สิ่งที่อยากเห็นจากรัฐบาลใหม่” ว่า แม้ตัวเลข GDP ในช่วงต้นปีจะดูเติบโตได้ดี แต่เป็นผลจากการเร่งส่งออกเพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการภาษีการค้าของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม เครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวอื่น ๆ ทั้งการบริโภค การลงทุน และการท่องเที่ยว ยังคงอ่อนแอ ทำให้ช่วงครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงติดหล่ม โดยเฉพาะไตรมาส 4/68 ที่ได้รับผลกระทบจากภาษี “ทรัมป์” ทั้งไตรมาส
อีกทั้งช่วงที่ผ่านมารัฐบาลในอดีตใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ภาคบริโภค การลงทุน การใช้จ่ายภาครัฐ การส่งออก แต่ยังไม่เคยพูดว่าจะกระตุ้นฝั่ง Supply ให้สำเร็จได้อย่างไร หรือการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ทำให้รัฐบาลชุดนี้กำหนดนโยบาย Quick Big Win ผ่านแนวคิด “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว” ซึ่งนอกจากจะกระตุ้นระยะสั้นให้ผลบวกระยะยาวแล้ว ต้องทำให้พ้น 4 เดือนไปเครื่องยนต์เศรษฐกิจอื่นๆ ที่สำคัญของไทยต้องจุดติดอีกครั้ง
โดยนโยบาย Quick Big Win ประกอบด้วย 5 เสาหลัก ได้แก่ กระตุ้นเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว ลดภาระหนี้ประชาชน เพิ่มสภาพคล่องให้ SME เพิ่มการออมของประชาชน และการลงทุนเพื่ออนาคต โดยมีเป้าหมายตอบโจทย์สั้น วางแผนยาว ซึ่งระยะสั้น ฟื้นเศรษฐกิจ เพิ่มกำลังซื้อ หนี้หด ออมเพื่อเสริมสภาพคล่อง ด้านระยะยาว การดึงดูดการลงทุน และวางรากฐานเพื่ออนาคต เพิ่มทักษะรองรับอุตสาหกรรมใหม่ และรักษาเสถียรภาพการคลัง
ทั้งนี้ ตัวชี้วัดที่วัดได้จริง ได้แก่ GDP ไตรมาส 4/68 จะขยายตัวมากกว่า 0.3% หนี้ครัวเรือนต่ำกว่า 87.4% ของ GDP สภาพคล่อง SMEs เพิ่มขึ้น ประชาชนมีช่องทางการออมระยะยาวมากขึ้น และเงินลงทุนเพื่ออนาคตเข้ามามากขึ้น
“อย่างไรก็ตามสิ่งที่ตระหนักและยึดมั่นมากที่สุดคือการรักษาวินัยทางการคลัง ที่ผ่านมาเราอาจจะไม่รักษาวินัยทางการคลังอย่างดีพอ ทำให้ปัจจุบันพื้นที่ที่เราสามารถใช้นโยบายทางการคลังเพื่อดูแลเศรษฐกิจน้อยมาก และถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไปจะยิ่งน้อยลงไปอีก” นายเบญจรงค์ กล่าว

นายอธิภัทร มุทิตาเจริญ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า สถานการณ์การคลังของไทยที่อยู่ในภาวะน่าเป็นห่วง โดยสถาบันจัดอันดับอย่าง Fitch และ Moody’s ได้ปรับลดมุมมองของประเทศไทยเป็นลบ ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญ โดยต้นตอของปัญหาเกิดจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่เรียกว่า ‘การมองสั้นเชิงนโยบาย’ (Fiscal Short-termism)
รัฐบาลที่ผ่าน ๆ มามักจะดำเนินนโยบายโดยหวังผลระยะสั้น โดยเฉพาะนโยบายประชานิยม โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบในระยะยาว ทำให้การขาดดุลงบประมาณในระดับ 4% ของ GDP กลายเป็นเรื่องปกติใหม่ที่น่ากังวล
ทั้งนี้โครงสร้างเชิงสถาบันในปัจจุบันยังไม่สามารถสร้างวินัยการคลังได้จริง โดย 3 เสาหลักของวินัยการคลังได้แก่
- กฎเกณฑ์การคลัง กฎเกณฑ์ที่มีอยู่ เช่น เพดานหนี้สาธารณะ 70% ของ GDP โดยไม่มีแผนลดในอนาคต และมีการใช้งบลงทุนไปในทางที่ไม่ก่อให้เกิดสินทรัพย์ถาวรจริง หรือแฝงรายจ่ายประจำไว้ในงบลงทุน
- การถ่วงดุล ไทยยังไม่มีสถาบันการคลังอิสระ เทียบเท่า CBO (สหรัฐฯ) หรือ OBR (สหราชอาณาจักร) การกำกับติดตามด้านวินัยทางการคลังเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ ซึ่งมีองค์ประกอบยากที่เป็นอิสระ ข้อจำกัดของฝั่งนิติบัญญัติ ปีงบ 67 ปรับลดงบประจำได้เพียง 0.26% ของงบรายจ่ายทั้งหมด
- ขาดความโปร่งใส โดยรายจ่าย: งบประมาณประจำปีไม่รวม “เงินนอกงบฯ” ซึ่งมีขนาดกว่า 60% ของงบรายจ่ายรวม รายรับ: รายได้ภาษีลดลงต่อเนื่อง แต่ไม่เคยเปิดเผยเป็น Tax Expenditures อย่างเป็นระบบ สินทรัพย์และหนี้ ขาดการทบทวนบัญชีสินทรัพย์ของรัฐอย่างเป็นระบบ แม้ใครสร้างแข็งแกร่ง แต่มี “หนี้ซ่อน” ตามมาตรา 28 ราว 1 ล้านล้านบาท
นายอธิภัทร กล่าวว่า หากไม่เร่งยกระดับ กติกา การถ่วงดุล ความโปร่งใส ไทยอาจสูญเสียความเชื่อมั่นทางการคลังในระยะยาว ทั้งนี้เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นและสร้างเสถียรภาพทางการคลังในระยะยาว ได้เสนอข้อเสนอแนะ 3 ประการต่อรัฐบาลใหม่ ดังนี้
- วางเข็มทิศทางการคลังให้ชัดเจน: จัดทำกรอบการคลังระยะปานกลางที่น่าเชื่อถือและปฏิบัติได้จริง เพื่อแสดงให้เห็นแนวทางการลดการขาดดุลในอนาคต
- เพิ่มความโปร่งใส การเปิดเผยข้อมูลการคลังให้ประชาชนเห็นในฐานะการคลังที่แท้จริง
- ทบทวนและยกระดับกฎเกณฑ์การคลัง ปรับปรุง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลัง เพื่อปิดช่องโหว่ที่นักการเมืองสามารถนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม และสร้างกลไกการกำกับดูแลที่เข้มแข็งขึ้น
“แม้รัฐบาลจะมีเวลาทำงานช่วงแรกเพียง 4 เดือน ซึ่งอาจจะดูสั้น แต่การเริ่มต้นยกระดับความน่าเชื่อถือทางการคลังถือเป็นภารกิจเร่งด่วนที่สุด เพื่อไม่ให้ประเทศไทยสูญเสียความเชื่อมั่นทางการคลังในระยะยาว” นายอธิภัทร กล่าว

นายกุลิศ สมบัติศิริ อดีตปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า สถานการณ์ราคาพลังงานในปัจจุบัน ค่าไฟฟ้า จะยังคงตรึงราคาไว้ที่ 3.94 บาทต่อหน่วยไปจนถึงสิ้นปีนี้ ส่วนราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) จะยังคงราคาไว้ที่ 423 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ซึ่งคาดว่าจะมีการบริหารจัดการเพื่อไม่ให้เป็นภาระ ขณะที่ ราคาน้ำมันดีเซล ที่ทยอยปรับลดลงนั้น เป็นการบริหารจัดการอย่างระมัดระวังเพื่อทยอยชำระหนี้คงค้างของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่เกิดจากวิกฤตพลังงานครั้งก่อน
สำหรับโครงการเร่งด่วน (Quick Win) ที่จะเห็นผลภายใน 4 เดือนได้แก่
- โครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน เป้าหมาย นำโควต้าที่เหลือจากแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) จำนวน 1,500 เมกะวัตต์ มาจัดสรรให้ชุมชน คาดว่าจะเกิดโซลาร์ฟาร์มได้อย่างน้อย 300 ชุมชน ครอบคลุม 15,000 ครัวเรือน ซึ่งนักลงทุนภาคเอกชมสามารถรร่วมมือกับชุมชนในพื้นที่เพื่อทำโซลาร์ฟาร์ม โดยชุมชนที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับ ส่วนลดค่าไฟฟ้า 20% จากราคาปกติ และมีโอกาสได้รับส่วนแบ่งผลกำไรจากการขายไฟเข้าระบบ คาดว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนนี้ได้ประมาณ 30,000 ล้านบาท
- โครงการโซลาร์สูบน้ำเพื่อการเกษตร ซึ่งเป็นการเปลี่ยนระบบสูบน้ำเพื่อการเกษตรจากการใช้ไฟฟ้ามาเป็นพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อลดต้นทุนให้เกษตรกร โดยรัฐบาลใน 4 เดือนนี้ เริ่มดำเนินการทันที 50 ระบบทั่วประเทศ โดยใช้งบจากกองทุนพัฒนาไฟฟ้าของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานภายใต้กระทรวงพลังงาน
- มาตรการลดหย่อนภาษีโซลาร์รูฟท็อป เตรียมเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในเดือนนี้ เพื่อให้สิทธิ ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ไม่เกิน 200,000 บาท คาดว่ามาตรการนี้จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ราว 20,000 ล้านบาท
- โครงการซื้อขายไฟฟ้าสีเขียวโดยตรง (Direct PPA) สำหรับภาคอุตสาหกรรม ตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าสะอาดของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่ม Data Center และอุตสาหกรรม S-Curve ในพื้นที่ EEC
นายกุลิศ กล่าวว่าแผนระยะยาวที่จะมีการปรับปรุงแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ฉบับใหม่ โดยต้องมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาภายในเดือนนี้ โดยจะเน้นการเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดให้มากขึ้น เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ในปี 2065 ซึ่งแผนนี้น่าจะเห็นความชัดเจนก่อนที่จะมีการยุบสภา
นางสาวอารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ นักวิชาการ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า ข้อเสนอเชิงนโยบายเร่งด่วน หรือสิ่งที่อยากเห็นรัฐบาลใหม่ ได้แก่
- Quick win: Low Hanging fruit มาตรการเร่งด่วนระยะสั้น เร่งแก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาพลังงานสะอาด เช่น ยกเลิกใบอนุญาต รง.4 เพื่อกำหนดให้การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ทุกชนิด ทุกกำลังการผลิตไม่เข้าข่ายเป็นโรงงาน ,ยกเลิก พค.2 ใบอนุญาตพลังงานควบคุม สำหรับการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ และ ออกพระราชกฤษฎีกา เพิ่มขนาด หรือประเภทโรงไฟฟ้าที่ไม่ต้องขออนุญาตทำแค่การจดแจ้ง ทั้งนี้เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน และช่วยสนับสนุนการขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย NDC 3.0
- Policy Continuity & Courage สานต่อนโยบาย Quick Win ให้กลายเป็น Reform Plan 2-3 ปี บูรณาการแผนนโยบายพลังงาน กล้าปรับโครงสร้างตลาดไฟฟ้า เปิด Third party Access ผลคาดหวังความชัดเจนเชิงนโยบาย นำมาสู่ความมั่นใจของนักลงทุน
- Sustainable Enabling Framework สร้างโครงสร้างเรองรับระยะยาว ตั้งศูนย์รวมข้อมูลพลังงาน เพื่อความโปร่งใสและติดตามความก้าวหน้า ผลที่คาดหวัง ระบบนโยบายและงบประมาณที่ต่อเนื่อง ไม่ขึ้นกับรัฐบาล
นางสาวอารีพร กล่าวว่า ต้องมอง 360 องศา อย่าทิ้งใครไว้เบื้องหลัง การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานต้องมองให้รอบด้านอย่าทิ้งใครไม่เบื้องหลัง เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบนโยบาย ที่เห็นได้ชัดคือโครงการโซลาร์ภาคประชาชน ที่ควรจะให้ภาคประชาชนเข้ามามีบทบาทในการแสดงความคิดเห็นเพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์มากที่สุด
สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง: สื่อสารกับประชาชนให้เข้าใจว่า “ค่าไฟที่ควรจะเป็น ไม่ใช่ค่าไฟที่ถูก แต่คือค่าไฟที่เป็นธรรม” และให้ความรู้ในประเด็นที่ซับซ้อน เช่น โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR)
นางสาวกิริฎา เภาพิจิตร ว่าที่ผู้ช่วย รมว.พาณิชย์ กล่าวถึง 7 นโยบายสำคัญของกระทรวงพาณิชย์ โดยแผนปฏิบัติการเร่งด่วน (Quick Win) จะครอบคลุมในหลายมิติประกอบด้วย
- การรับมือภาษีการค้าสหรัฐฯ เร่งเจรจาต่อรองประเด็นภาษีกับสหรัฐฯ ทั้งในส่วนของ Reciprocal Tariff และภาษีรายสินค้าเฉพาะกลุ่ม เช่น เซมิคอนดักเตอร์ และเหล็ก รวมถึงการเตรียมความพร้อมรับมือกฎเกณฑ์ด้านแหล่งกำเนิดสินค้า (Local Content) แม้กฎของสหรัฐฯ ยังไม่ชัดเจนแต่ต้องเตรียมความพร้อมเสมอ
- การค้าชายแดนไทย – กัมพูชา ซึ่งจากสถานการณ์ข้อพิพาทชายแดนกระทบการค้าขายตรงชายแดนอย่างมาก ในะระยะสั้นต้องเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งบริเวณชายแดน ทั้งการค้ารวมทั้งโรงแรมเล็ก ๆ ร้านอาหารที่รับนักท่องเที่ยว พร้อมหาตลาดใหม่รองรับสินค้าท้องถิ่นนั้นที่ไม่สามารถส่งออกไปกัมพูชาได้
- ขยายตลาดและ FTA เดินหน้าเจรจา FTA โดยเฉพาะ EU และเกาหลีใต้ ควบคู่ไปกับการอัปเกรด FTA เดิมที่มีอยู่ อย่างเช่น อาเซียน-จีน หรืออาเซียน-เกาหลีใต้ และบุกตลาดใหม่ที่ยังไม่มีข้อตกลงทางการค้า เช่น อินเดีย และตะวันออกกลาง เพื่อหาโอกาสให้สินค้าไทยให้มากขึ้นได้
- การลดภาระค่าครองชีพในประเทศ ปฏิรูปราคายาในโรงพยาบาลเอกชน ถือเป็นนโยบายที่มีการพูดถึงเมื่อ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งจะประกาศความชัดเจน 28 ต.ค.นี้ โดยผู้ป่วยจะสามารถเห็นบิลค่ายาก่อนตัดสินใจจ่ายเงิน และมีสิทธิเลือกซื้อยาบางรายการจากร้านขายยาภายนอกได้
- ดูแลเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร จะเน้นการบริหารจัดการอุปทานและเข้ามาควบคุมดูแลด้านราคา เช่น การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาดในช่วงที่ราคาตกต่ำ และการเร่งหาตลาดส่งออกใหม่ นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดทำ Sandbox ส่งเสริมเกษตรกรปลูกพืชเศรษฐกิจมูลค่าสูงที่มีตลาดรองรับชัดเจน เช่น กล้วยหอมทอง อะโวคาโด ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น และไม่ต้องพึ่งพาการอุดหนุนจากภาครัฐ
- การเพิ่มขีดความสามารถให้ SME และปฏิรูปกฎระเบียบ พัฒนาทักษะ SME เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ยกตัวอย่างเช่น โครงการ “คนละครึ่งพลัส” ที่นอกจากการให้เงินช่วยเหลือแล้ว ยังเป็นการอัปสกิลด้านดิจิทัลให้กับผู้ประกอบการรายย่อย สามารถต่อยอดไปสู่การทำ E-Commerce ได้
- ปรับกฎระเบียบใช้เทคโนโลยี ลดขั้นตอนและกฎระเบียบ ถือเป็นภารกิจสำคัญ โดยได้สั่งการให้ทุกกรมในสังกัดเสนอแผนลดขั้นตอนและกระบวนการที่ไม่จำเป็น รวมทั้งการลดการใช้กระดาษซึ่งจะเปลี่ยนเป็นรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อลดต้นทุนและทรัพยากร

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล นายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย และประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า ในระยะเวลา 4 เดือนของรัฐบาลเป็นระยะเวลาที่สั้น ทำให้ต้องเลือกว่าจะทำอะไร โดยเสนอนโยบายคานงัด 10X หรือคือการที่ใช้เงินน้อยแต่ได้ผลมาก เช่น การให้ความสำคัญกับ SME เช่น รัฐบาลจัดซื้อจัดจ้างบน SME ไทย สินค้าไทย เนื่องจากทุกประเทศกำลังกังวลใจสินค้าจีนที่เข้ามาตีตลาดในไทย ขณะเดียวกันจัดสรรงบประมาณเพิ่มขึ้นให้กับหน่วยงานที่สร้างรายได้ให้กับประเทศ อาทิ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กระทรวงพาณิชย์ EXIM BANK รวมถึง BOI
นอกจากนี้ยังรวมถึงการเปิดประตูน้ำ หรือปลดล็อกกฎเกณฑ์บางประการ ยกตัวอย่างเช่น การนำบริษัทที่ได้ BOI เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในไทยเพิ่ม S-Curve ซึ่งมองว่าสามารถแก้กฎเกณฑ์ใน 4 เดือนได้ ขณะเดียวกันที่อยากคุยกับกระทรวงการคลัง เช่น การออมเพื่อการเกษียณอายุ ซึ่งทำได้เลยทันที เรื่องการปรับกฎเกณฑ์ BOI ส่งเสริมให้บริษัทช่วยชุมชน และการเปิดเสรีภาค Service นอกจากนี้สิ่งที่อยากให้รัฐบาลทำอีกเรื่องคือการกิโยตินกฎหมาย
“นี่โอกาสของเราที่จะดำเนินการสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ผมคิดว่าหัวใจที่สำคัญที่สุดคือการกำหนดว่าจะทำอะไร แบ่งงานกันอย่างไร ผมคิดว่า 4 เดือนเป็นไปได้” นายกอบศักดิ์ กล่าว
นายนิพนธ์ พัวพงศกร อดีตนายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย เสนอ 4 แนวทางนโยบายเร่งด่วนเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตในภาคเกษตรกรรมและวางรากฐานสู่เกษตรสมัยใหม่ โดยเน้นการแก้ปัญหาที่ตรงจุด การบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ และการลงทุนใน “ทุนมนุษย์” เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเกษตรกรไทย โดยนโยบายเกษตรที่อยากเห็นจากรัฐบาลใหม่ใน 4 เดือนข้างหน้า ประกอบด้วย
- ลงทุนผลิต/กระจายพันธุ์ต้านทานโรคใบด่างมันสำปะหลัง สถานการณ์ปัจจุบันโรคใบด่างได้ระบาดครอบคลุมพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังแล้วกว่า 1 ล้านไร่ ซึ่งถือเป็นวิกฤตใหญ่ เสนอให้รัฐบาลใช้งบประมาณ 125 ล้านบาท เพื่อผลิตต้นพันธุ์มันสำปะหลังทนทานโรคจำนวน 1 ล้านต้น ภายในปีนี้ เพื่อแจกจ่ายให้เกษตรกร ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นตอ
- เร่งสูบน้ำออกจากทุ่งนาในเจ้าพระยาตอนกลาง/ล่าง ปัญหาน้ำท่วมในภาคกลางทำให้ชาวนาไม่สามารถปลูกข้าวได้ทันเวลา ดังนั้นกรมชลประทานต้องเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่นาข้าวให้เร็ว เพื่อให้ชาวนาสามารถเริ่ม ปลูกข้าวได้ภายในวันที่ 15-31 ธันวาคม ซึ่งจากข้อมูลสถิติพบว่า การปลูกข้าวในช่วงเวลาดังกล่าวจะทำให้ได้ ผลผลิตสูงเกิน 1 ตันต่อไร่ และยังสามารถปลูกในรอบนาปีถัดไปได้เร็วขึ้น ส่งผลให้ได้ผลผลิตสูงสองต่อ โดยใช้เครื่องมือและงบประมาณที่มีอยู่แล้ว
- อุดหนุนเกษตรกรขุดบ่อน้ำบาดาล/แหล่งน้ำชุมชน ขยายผลจากนโยบายโซลาร์รูฟของกระทรวงพลังงาน โดยเสนอให้ทำควบคู่ไปกับการ ขุดบ่อน้ำบาดาลในพื้นที่เกษตรนอกเขตชลประทาน เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำ
- เปลี่ยนวัตถุประสงค์การอุดหนุนเพื่อปรับโครงสร้างเกษตรและสร้างวินัยการคลัง เช่น LOW CARBON RICE ไถกลบแทนการเผา เพิ่มทุนมนุษย์ ข้อเสนอ ได้แก่ ลงทุนใน Technical Skill จัดอบรมทักษะด้านเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture), การใช้โดรน, และการจัดการฟาร์ม เพิ่มองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร สร้างความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและเกษตรกร: เสนอให้มีการจัดตั้งตำแหน่ง “ศาสตราจารย์นวัตกรรม” ในมหาวิทยาลัย เพื่อส่งเสริมให้อาจารย์ลงพื้นที่ทำงานวิจัยร่วมกับเกษตรกรในฟาร์มจริง และนำองค์ความรู้สมัยใหม่ไปประยุกต์ใช้
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 ต.ค. 68)