
นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงการดำเนินโครงการ Green List Plus “โปรสู้ฝุ่น ลด PM2.5” เพื่อยกระดับมาตรการรับมือสถานการณ์หมอกควันและฝุ่นละอองในพื้นที่กรุงเทพฯ ปี 2569 ว่า สถานการณ์คุณภาพอากาศของประเทศไทยในปีที่ผ่านมา โดยรวมอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ยกเว้นฝุ่น PM2.5 ที่ยังพบเกินมาตรฐานในบางช่วงเวลา โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ และภาคเหนือ
อย่างไรก็ตาม ปี 2568 พบว่าค่า PM2.5 ในกรุงเทพฯ ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน สะท้อนถึงแนวโน้มที่ดีจากมาตรการของภาครัฐ โดยในฤดูกาลฝุ่นปี 2569 รัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีระกุล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ได้ประกาศนโยบายแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมโดยเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมทั้งการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 เพื่อเร่งแก้ปัญหาที่ประเทศกำลังเผชิญ
“เรื่องอากาศสะอาด เป็นหนึ่งในนโยบายที่รัฐบาลแถลงต่อรัฐสภา และเป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน เพราะลำพังหน่วยงานภาครัฐก็ไม่สามารถดำเนินการให้สำเร็จได้ โครงการนี้ ต้องร่วมมือกันครบวงจรทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ให้เห็นผลงานเป็นรูปธรรมจับต้องได้” นายสุชาติ กล่าว
ปัจจุบัน ประเทศไทยมีจำนวนรถยนต์จดทะเบียนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีสัดส่วนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับรถเก่าที่สะสมอยู่ในระบบ ซึ่งหากขาดการบำรุงรักษา จะปล่อยมลพิษออกสู่บรรยากาศมากกว่ารถที่ได้รับการดูแล จึงควรส่งเสริมให้ประชาชนหมั่นตรวจเช็ค และซ่อมบำรุงเครื่องยนต์เพื่อลดการเกิดฝุ่นควัน ส่วนผู้ประกอบการที่ไม่รับผิดชอบเรื่องสิ่งแวดล้อม ก็ต้องมีมาตรการปราบปรามดูแล ซึ่งไม่ใช่การกลั่นแกล้ง แต่เพื่อปกป้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบ
ด้านนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า ในปีนี้จะดำเนิน 10 มาตรการตามเดิม โดยในส่วนของการตรวจเช็คสภาพเครื่องยนต์และเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง จะขยายขอบข่ายให้ครอบคลุมรถขนาดเล็ก โดยตั้งเป้าเพิ่มจำนวนรถยนต์เข้าร่วมโครงการจากปีก่อน 3 แสนคัน ให้เป็น 5 แสนคัน จากจำนวนรถยนต์ในกรุงเทพฯ ราว 3 ล้านคัน ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินโครงการในช่วงเดือน พ.ย.68-ก.พ.69
ส่วนกรณีที่เกษตรกรเผาเศษวัชพืชนั้น ก็ต้องมีความเข้าใจ เพราะเป็นวิถีชีวิต อย่าไปโทษว่าเป็นความผิด หากไปห้ามก็จะเป็นการสร้างภาระให้กับเกษตรกร แต่ต้องหาทางช่วยเหลือ เช่น การจัดหาเครื่องอัดฟางข้าว
น.ส.ยุพิน บุญศิริจันทร์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เป็นการดำเนินงานต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 แล้ว ซึ่งแนวโน้มมีประชาชนให้ความสนใจเข้าร่วมมากขึ้น โดยเฉพาะรถยนต์ที่เครื่องยนต์เก่า โดยปีนี้มีศูนย์บริการเข้าร่วมโครงการทั่วประเทศ 1,745 แห่ง ซึ่งแต่ละแห่งจะให้สิทธิประโยชน์ที่แตกต่างกันไป เช่น การตรวจสภาพเครื่องยนต์ฟรี 55 รายการ, ลดค่าอะไหล่ น้ำมันเครื่อง
โครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่าง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, กรุงเทพมหานคร, กระทรวงพลังงาน, กรมการขนส่งทางบก, กองบังคับการตำรวจจราจร, กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, ค่ายรถยนต์ 9 แบรนด์, ผู้ค้าน้ำมัน 5 แห่ง, ศูนย์บริการบีควิก, บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา, บมจ. ซีพี แอ็กส์ตร้า, บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด, บมจ.แอดวานส์ อินโฟร์เซอร์วิส และ บมจ. บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (29 ต.ค. 68)





