
HSBC ชี้แนวโน้มธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ในไทยจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ครึ่งปีแรกดึงดูดเม็ดเงินลงทุน 5.2 แสนล้านบาท มองไทยมีศักยภาพและมีความพร้อมด้านไฟฟ้าและน้ำ ขณะที่ต้นทุนต่ำกว่าประเทศอื่นในอาเซียน ภายในในปี 2573 ความต้องการดาต้าเซ็นเตอร์ในอาเซียนจะเพิ่มขึ้น 5 เท่า ด้าน EEC หนุนเต็มที่ เผยมีการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์แล้ว 17 รายรวม 5,000 เมกะวัตต์
นายจอร์โจ กัมบา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการกลุ่มลูกค้าธุรกิจ ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย (HSBC) เปิดเผยว่า ธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่ง จากยอดตัวเลขจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) สะท้อนให้เห็นชัดเจน โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 คำขอรับการส่งเสริมการลงทุนเพิ่มขึ้น 139% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.06 ล้านล้านบาท (ประมาณ 32.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)
ในจำนวนนี้มีเงินลงทุน 5.22 แสนล้านบาทมาจากโครงการดิจิทัล ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 20 เท่า โดยเป็นธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์เพียงอย่างเดียวดึงดูดเม็ดเงินลงทุน 5.21 แสนล้านบาท จาก 28 โครงการ แสดงให้เห็นว่าบริษัทเทคโนโลยีทั้งต่างประเทศและในประเทศกำลังเร่ง ตอบสนองความต้องการด้านบริการคลาวด์ขนาดใหญ่จากผู้ให้บริการคลาวด์ระดับโลก (hyperscalers) ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมหาศาล
นายจอร์โจ กล่าว่า ภาพรวมธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ถือว่าเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักที่ขับเคลื่อนบริการดิจิทัลต่างๆ ทั้งภาคประชาชน ภาคธุรกิจ และภาครัฐ โครงสร้างพื้นฐานสำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัลนี้มีแนวโน้มเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากความต้องการบริการคลาวด์คอมพิวติ้งและ AI เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ปัจจุบันดาต้าเซ็นเตอร์ในอาเซียนมีความสามารถในการรองรับการให้บริการที่ 1.8 กิกะวัตต์ คิดเป็น 16% ของความสามารถในการให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ทั้งหมดของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) ทั้งนี้ 60% ของการรองรับการให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ในอาเซียนอยู่ในสิงคโปร์
ท่ามกลางความต้องการพลังงานของดาต้าเซ็นเตอร์ที่เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ ความพร้อมของพลังงานและต้นทุนพลังงานจึงเป็นความท้าทายสำคัญที่ภาคธุรกิจนี้ต้องเผชิญ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย
ทั้งนี้ ธนาคารเอชเอสบีซีคาดการณ์ว่าภายในปี 2573 ความต้องการดาต้าเซ็นเตอร์ในอาเซียนจะเพิ่มขึ้น 5 เท่าเป็น 6.5 กิกะวัตต์ (จาก 1.3 กิกะวัตต์ในปี 2566) ขับเคลื่อนโดยการขยายตัวของบริการคลาวด์ การนำ AI มาใช้ และ IoT
ความสามารถในการรองรับการให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ในอาเซียนจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 5 เท่า (จาก 1.8 กิกะวัตต์ในปี 2566 เป็น 8.9 กิกะวัตต์ในปี 2573) โดยสัดส่วนความสามารถของการรองรับการให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ของอาเซียนจะเพิ่มขึ้นเป็น 25% ในปี 2573 ของความสามารถในการรองรับการให้บริการของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกทั้งหมด และ 1 ใน 3 ของพลังงานหมุนเวียนทั้งหมดที่ผลิตในอาเซียนจะถูกใช้โดยดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งจะสร้างโอกาสให้แก่บริษัทพลังงานหมุนเวียน
สำหรับประเทศไทย ธนาคารเอชเอสบีซีมองว่า ประเทศไทยมีศักยภาพในการดึงดูดการลงทุนในธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ทั้งจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และการลงทุนจากบริษัทดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศไทย การเพิ่มขึ้นของจำนวนโครงการและมูลค่าการลงทุนโดยรวมสะท้อนความเชื่อมั่นของ นักลงทุนในศักยภาพและปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของประเทศไทย
ปัจจัยต่อไปนี้ทำให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับการลงทุน ดาต้าเซ็นเตอร์ ได้แก่
– โครงสร้างพื้นฐานด้านระบบไฟฟ้าที่แข็งแกร่ง (Electrical infrastructure)
– ความเร็วอินเทอร์เน็ตของประเทศไทยอยู่ใน Top 10 ของโลก
– เครือข่าย 5G ของประเทศไทยครอบคลุมประชากรกว่า 89% สูงเป็นอันดับ 2 ในอาเซียน
– ความต้องการการใช้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
– ทำเลที่ตั้งใจกลางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
– ต้นทุนการก่อสร้างและดำเนินงานธุรกิจในระดับต่ำที่แข่งขันได้
– สิทธิประโยชน์จาก BOI / พระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน

นายก่อกิจ ด่านชัยวิจิตร รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.หรือ EEC) กล่าวว่า ภาพรวมการลงทุนในธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ในไทยและพื้นที่ EEC เพิ่มขึ้นอย่างมาก จากที่มี 100 เมกะวัตต์(MW) ส่วนใหญ่ใช้ในธุรกิจธนาคาร การเงิน ตลาดหุ้นไทย แต่ปีนี้เพิ่มมาเป็นราว 5,000 เมกะวัตต์ จาก 17 ราย ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และยังมีอีกหลายรายที่กำลังยื่นขอส่งเสริมการลงทุน
โดยพื้นที่ EEC ถือว่าได้เปรียบในการลงทุนที่ไม่ใช้เพียงให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีและไม่ภาษี อาทิ การทำรายการเงินสกุลดอลลาร์โดยไม่แปลงเป็นเงินบาท รวมถึงการส่งเสริมในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่เข้าดูแลตั้งแต่ที่ดิน การก่อสร้าง ที่ทาง EEC พร้อมให้ใบอนุญาตในที่เดียวกัน นอกจากนี้ EEC ดูแลเรื่องไฟฟ้าและน้ำให้เพียงพอต่อธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ ในทางกลับกันก็ต้องไม่ให้กระทบต่อชุมชนโดยรอบด้วย ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าไฟฟ้า ถือเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจนี รองลงมาเรื่องน้ำ
ที่ผ่านมาบริษัทที่มีการประกาศการลงทุนในธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ใน EEC ได้แก่ AWS ขนาด 600 MW มีเงินลงทุน 1 แสนล้านบาท, Supernap (Thailand) มีขนาด 60 MW
ทั้งนี้ 17 รายที่ยื่นขอเข้ามาลงทุนใน EEC มีต้นทุนการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ เมกะวัตต์ละ 30 ล้านเหรียญ/เมกะวัตต์ (รวมลงทุน GPU) โดยประเทศไทยนับว่าเป็นแหล่งลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ เนื่องจากไทยมีสำรองไฟฟ้าสูงกว่าประเทศอาเซียนอื่น ที่มี 1.0-1.2 หมื่นเมกะวัตต์ โดยในจำนวนนี้ 30% เป็นพลังงานสะอาดหรือพลังงานหมุนเวียน

ด้านนายฐนสรณ์ ใจดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทรู อินเทอร์เน็ต ดาต้า เซ็นเตอร์ (ทรู ไอดีซี) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์รายใหญ่ในไทย กล่าวว่า การลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ในไทยจะช่วยสร้างงาน การพัฒนา AI การพัฒนาซอฟท์แวร์ ที่เป็น Ecosystem เพราะแม้จะเป็นบริษัทต่างประเทศเข้ามาลงทุน แต่ก็ต้องการคน local เป็นผู้ดำเนินการ และในพื้นที่ EEC ก็เหมาะสมที่น้ำไม่ท่วม ไกลจากอุตสาหกรรมหนักอาทิ ปิโตรเคมี ไกลจากสนามบิน รวมทั้งข้อกฎหมายที่ EEC สามารถรองรรับการลงทุนธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ได้เป็นอย่างดี
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (29 ต.ค. 68)





