ZoomIn: “ขยายอายุเกษียณ 65 ปี” ตอบโจทย์แรงงานจริงหรือ??

การขยายอายุเกษียณจาก 60 ปี เป็น 65 ปี เป็นแนวคิดที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณา เนื่องจากประเทศไทยกำลังเดินหน้าเข้าสู่ “สังคมสูงวัยขั้นสุดยอด” ในอีกเพียง 8-9 ปีข้างหน้า ขณะที่โครงสร้างแรงงานทั้งระบบยังมีปัญหาอีกมาก แต่แนวคิดดังกล่าว จะตอบโจทย์ของการแก้ปัญหาได้จริงหรือไม่

สำนักข่าวอินโฟเควสท์ พาไปหาคำตอบกับ 2 นักวิชาการ จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) และศูนย์วิจัยกสิกรไทย ซึ่งเห็นสอดคล้องกันว่า “การขยายอายุเกษียณ” ไม่ใช่คำตอบทั้งหมด ต้องพิจารณาข้อดี-ข้อเสีย และควรดำเนินการปรับโครงสร้างไปทั้งระบบ ควบคุ่กับการยกระดับผลิตภาพของแรงงาน ตลอดจนปฏิรูประบบราชการให้มีประสิทธิภาพ และลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพระยะยาว

 TDRI ชี้ “ขยายอายุเกษียณ” ไม่ใช่คำตอบเดียว เหตุโครงสร้างแรงงานมีความแตกต่าง

นายนณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ระบุว่า คอนเซปต์นี้ไม่ได้สอดคล้องกับโครงสร้างแรงงานของไทย 100% เนื่องจากแรงงานของไทยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ ภาคเกษตร, แรงงานนอกระบบ, ข้าราชการ และแรงงานในระบบ

โดยทั่วไป ข้าราชการ และแรงงานในระบบ (เช่น ลูกจ้างเอกชน) กฎหมายแรงงานกำหนดให้เกษียณอายุได้เมื่ออายุครบ 60 ปีขึ้นไป ส่วนแรงงานนอกระบบ และภาคเกษตรไม่มีการกำหนดอายุเกษียณที่ชัดเจน

“ไม่เห็นด้วยกับการขยายอายุเกษียณสำหรับข้าราชการ เพราะกลุ่มข้าราชการมีรายได้ และสิทธิ์สวัสดิการที่ดีอยู่แล้วในตอนเกษียณ หากขยายออกไป อาจจะทำลายโครงสร้างการทำงานแบบเดิม และทำให้เกิดความเสี่ยงที่พีระมิดแรงงานจะกลายเป็นฐานแคบ คือมีแต่ผู้สูงอายุทำงาน แต่ไม่มีคนทำงานรุ่นใหม่ เพราะตำแหน่งที่ยืดออกไป ทำให้ไม่สามารถจัดซื้อจัดจ้างคนใหม่เข้ามาได้” นายนณริฏ กล่าว

 ทางออกแท้จริง ต้องปรับโครงสร้างขนาดใหญ่ทุกภาคส่วน

นายนณริฏ มองว่า เป้าหมายที่แท้จริงของการแก้ปัญหาสังคมสูงวัย ไม่ใช่การขยายอายุเกษียณจาก 60 ปีไป 65 ปี แต่คือทำอย่างไรให้คนวัยทำงานไม่หลุดออกไปเร็วเกินไป และควรพยายามยืดอายุคนทำงานให้มีคุณค่าให้นานที่สุดเท่าที่ไหว และอยากทำ โดยมีข้อแนะนำ ดังนี้

  1. ปรับกลไกแรงจูงใจและสวัสดิการ: ควรปรับปรุงกลไกที่จูงใจให้คนไม่ต้องการทำงาน โดยเฉพาะการจ่ายสิทธิ์และสวัสดิการต่าง ๆ สิทธิ์การเกษียณ เช่น การรับเงินประกันสังคม ไม่ควรผูกรวมกับการต้องออกจากงาน
  2. นโยบายการจ้างงานใหม่ (Reemployment Policy): แนวคิดนี้อ้างอิงจากประเทศสิงคโปร์ คือบริษัทควรมีบทบาทในการรักษาตำแหน่งงาน เมื่อใดก็ตามที่บริษัทมองว่าพนักงานคนใดควรจะออก ควรพิจารณาว่าพวกเขาสามารถทำหน้าที่อื่นในบริษัทได้หรือไม่ ยกตัวอย่าง อาจมีการปรับตำแหน่ง หากพนักงานมีปัญหาสุขภาพ เช่น อดีตแอร์โฮสเตสที่บินไม่ไหวแล้ว บริษัทควรเจรจาปรับตำแหน่งให้ไปทำงานอื่น โดยอาจลดเงินเดือนตามภารกิจที่ลดลง แต่ดีกว่าการไล่ออก หรืออาจมีกองทุนฝึกอบรม หากจำเป็นต้องเลย์ออฟ บริษัทต้องจัดสรรเงินจำนวนหนึ่งใส่ในกองทุนฝึกอบรม เพื่อให้พนักงานคนนั้นสามารถนำไปฝึกอบรมอาชีพ และกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานของบริษัทอื่นได้ เป็นต้น นี่คือสิทธิ์และสวัสดิการตัวหนึ่งที่ควรมี เพราะแรงงานได้ทำงานให้บริษัทมาทั้งชีวิต
  3. แนวคิดงานที่สอง (Second Job Concept): โมเดลชีวิตแบบเก่า (เรียน 20 ปี, ทำงาน 40 ปี, เกษียณ 15-20 ปี) ไม่สอดคล้องกับอายุขัยที่อาจยืนยาวถึง 100 ปี มนุษย์อาจไม่สามารถทำงานเพียงงานเดียวจนเกษียณได้ รัฐจึงต้องส่งเสริมให้คนเข้าใจว่า พวกเขาสามารถเปลี่ยนทักษะ และความชอบกลางทางได้ เช่น จากอาชีพนักบิน ก็เปลี่ยนไปเปิดร้านอาหารได้ เป็นต้น

นายนณริฏ กล่าวว่า วิกฤตสังคมสูงวัยมาอย่างรวดเร็ว (มีเวลาแค่ประมาณ 8-9 ปี) และรัฐมีทรัพยากรจำกัด ทุกภาคส่วนในสังคม (ตัวเอง ครอบครัว ชุมชน นักวิชาการ) จะต้องร่วมมือกันเพื่อผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ การขยายอายุเกษียณเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ ที่ช่วยได้ แต่ไม่สามารถสร้างความยั่งยืนได้เลย หากไม่มีการปรับโครงสร้างขนาดใหญ่จากทุกภาคส่วน และอีกหนึ่งปัญหาหลักที่น่ากังวล คือ 60-80% ของผู้สูงอายุไทยในปัจจุบัน ยังไม่พร้อมทางการเงินเมื่อถึงวัยเกษียณด้วย

 วิจัยกสิกรฯ ชี้ข้อดี-ข้อเสีย ขยายอายุเกษียณ

น.ส.เกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า การขยายอายุเกษียณราชการเป็น 65 ปี ถือเป็นมาตรการหนึ่งเพื่อตอบโจทย์สังคมสูงวัย (Aging Society) เนื่องจากอายุขัยเฉลี่ยของคนไทยยืนยาวขึ้น (จาก 71 ปี เป็น 77 ปี) การขยายอายุจึงช่วยให้มีประชากรวัยแรงงานนานขึ้น ตามอายุขัยที่ยืนขึ้น และช่วยแก้ปัญหาการที่วัยแรงงานมีแนวโน้มจะลดลง ซึ่งมองว่ามีทั้งข้อดีและผลกระทบ

เพราะหากมองในภาพรวมของประเทศแล้ว การมีกำลังแรงงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจนานขึ้น น่าจะช่วยให้ภาพรวมของประเทศเป็นบวก ดีกว่าปล่อยให้การเป็นสังคมสูงวัย ซึ่งจะส่งผลให้การบริโภคและ GDP โตช้าลงเฉลี่ยประมาณ 1% ต่อปีสำหรับผลกระทบต่อการขยายอายุเกษียณ ในมุมต่อรายบุคคลถือเป็นผลดี เนื่องจากคนงานจะมีงานทำต่อและมีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง แทนที่จะต้องใช้เงินออมหรือเงินจากครอบครัวหลังเกษียณ

นอกจากนี้ การขยายอายุเกษียณจะช่วยเลื่อนเวลาการจ่ายบำนาญออกไปได้ และยังส่งผลดีต่อสถานะของกองทุนประกันสังคม เนื่องจากผู้ที่ทำงานต่อก็จะส่งเงินสมทบเข้าประกันสังคมต่อไปอีก 5 ปี ซึ่งช่วยให้สถานะของกองทุนประกันสังคมที่ในที่สุดแล้วมีแนวโน้มจะลำบาก (เนื่องจากรายรับเติบโต 3% แต่ค่าใช้จ่ายเติบโต 10%) สามารถยืดเวลาการติดลบออกไปได้

แต่ก็จะทำให้ภาครัฐจะต้องมีงบประมาณเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับเงินเดือนข้าราชการและค่ารักษาพยาบาลต่อไปอีก 5 ปี งบประมาณรายจ่ายบุคลากรภาครัฐรวมเงินเดือน ค่ารักษาพยาบาล และสวัสดิการอื่น ๆ ในปี 68 อยู่ที่ประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 6% ของ GDP และโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นประมาณ 3% ต่อปีในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา หากมีการขยายอายุเกษียณ งบประมาณเงินเดือนข้าราชการมีโอกาสสูงขึ้นมากกว่า 3% ต่อปี เนื่องจากข้าราชการที่ใกล้เกษียณ มีฐานเงินเดือนที่สูงกว่าการรับข้าราชการใหม่เข้ามา

ในภาคเอกชน ข้อเสียคือผลกระทบต่อการโปรโมตพนักงานที่อายุน้อย หรือบัณฑิตจบใหม่ เมื่อตำแหน่งงานที่เดิมควรจะว่างลงเพราะการเกษียณ แต่ยังคงมีคนทำอยู่ ก็จะทำให้การโปรโมตช้าลง และโอกาสในการหางานของบัณฑิตจบใหม่มีข้อจำกัด สถานการณ์นี้จะยิ่งน่ากังวล หากเศรษฐกิจโดยรวมไม่ดี หรือความสามารถในการแข่งขันของประเทศต่ำลง ซึ่งทำให้ภาคธุรกิจไม่เปิดรับแรงงานใหม่

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่กระทบโอกาสการสร้างงานของบัณฑิตจบใหม่ ไม่ได้มาจากแค่การขยับอายุเกษียณเพียงอย่างเดียว แต่มาพร้อมกับปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ความต้องการแรงงาน การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี (AI) และทักษะแรงงานที่ต้องการเปลี่ยนแปลงไป

 แนะแก้ปัญหาโครงสร้างประชากร

การขยายอายุเกษียณเป็นสิ่งที่ “หนีไม่พ้น” แต่ต้องมีการเตรียมความพร้อม และกำหนดเป็นลักษณะขั้นบันได และควรบอกล่วงหน้าเป็นเวลานาน เพื่อให้เกิดความพร้อมและความเป็นธรรมต่อผู้ที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน นอกจากนี้ การขยายอายุเกษียณไม่ใช่คำตอบเดียวในการแก้ปัญหาโครงสร้างประชากร แต่ต้องเป็นการมองภาพใหญ่ที่ครอบคลุมทุกช่วงวัย ตั้งแต่เด็ก วัยแรงงาน จนถึงผู้สูงอายุ ซึ่งเน้นไปที่ Productivity หรือผลิตภาพของแรงงานเป็นสำคัญ

น.ส.เกวลิน มองว่า รัฐควรให้ความสำคัญกับการลงทุนในทุนมนุษย์ โดยเฉพาะวัยเด็กและการศึกษา เช่น การส่งเสริมการเรียนในสาขา STEM (หมายถึง สาขาวิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering) และคณิตศาสตร์ (Mathematics) ซึ่งปัจจุบันมีบัณฑิตจบสาขา STEM เพียง 20-21% ของบัณฑิตทั้งหมด) เพื่อให้ทักษะแรงงานตอบโจทย์ความต้องการของอุตสาหกรรมในอนาคต รวมถึงการปฏิรูประบบราชการให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น (เช่น ใช้ e-government) และการเน้นเรื่องสุขภาพเชิงป้องกัน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลเมื่ออายุมากขึ้น

“สรุปคือ หากทำเฉพาะการขยายอายุเกษียณราชการเท่านั้น อาจจะไม่ส่งผลในเชิงบวกเท่าที่ควร” น.ส.เกวลิน ระบุ

 โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 ต.ค. 68)