LEO เผยกำไร Q3/68 ร่วงรับพิษสงครามการค้า เร่งสปีด Non-Freight และ Non-Logistics โตต่อเนื่อง

นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ [LEO] เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 3/68 (สิ้นสุด 30 กันยายน 2568) บริษัทฯ มีรายได้รวม 346 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.7 ล้านบาท หรือ 3% จากไตรมาส 2/68 โดยบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิในส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่ ในไตรมาส 3/2568 จำนวน 2.3 ล้านบาท ลดลง 82% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 12.7 ล้านบาท

ส่วนในงวด 9 เดือนปี 68 รายได้อยู่ที่ 1,029.3 ล้านบาท ลดลง 17% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และกำไรสุทธิ ที่ 16.3 ล้านบาท ลดลง 52% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 34.2 ล้านบาท

ปัจจัยที่มีผลกระทบกับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ มาจากสงครามการค้าและความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าของประเทศสหรัฐอเมริกา ในช่วงเดือนกรกฏาคมและสิงหาคม อย่างไรก็ตามสถานการณ์ดังกล่าวเริ่มมีการพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นหลังจากที่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ประกาศอัตราภาษีนำเข้าใหม่นับตั้งแต่เดือนกันยายนและเริ่มเห็นสัญญาณของการส่งออกของประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกภูมิภาค สอดคล้องกับตัวเลขภาคการส่งออกของประเทศไทย ที่มีการขยายตัว 19% ในเดือนกันยายน 2568 และเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 48 เดือน

โดยบริษัทฯยังมีการเติบโตทางรายได้จากธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics อย่างต่อเนื่องและมีนัยสำคัญ การรับรู้รายได้จากการลงทุนและโครงการใหม่ทำให้รายได้เติบโตขึ้น และลดความผันผวนจากธุรกิจ Freight โดยเฉพาะรายได้จากการขนส่งทางรางที่บริษัทในกลุ่มมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในช่วง 9 เดือนแรกปี 2568 มีรายได้จากการขนส่งสินค้าทางรางเพิ่มขึ้นร้อยละ 134 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยบริษัท LaneXang Express ซึ่งเป็นบริษัทร่วม สามารถทำรายได้ 9 เดือนแรกปี 2568 อยู่ที่ 31 ล้านบาท และบริษัท Sritrang LEO Multimodal Logistics ก็มีรายได้จากการขนส่งทางรางภายในประเทศ 165 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนปี 2568 นี้ ซึ่งทั้ง 2 บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นถึงประมาณ 2.5 เท่าเมื่อเทียบกับ 9 เดือนแรกของปี 2567

นอกจากนี้บริษัท YJC Depot Services ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ดำเนินธุรกิจลานเก็บตู้คอนเทนเนอร์มีรายได้ในไตรมาส 3/68 เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 37 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2568 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 73 เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน และคาดการณ์ว่าจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 4/68 ไปจนถึงปี 2569 เนื่องจากมีลูกค้าใหม่เข้ามาใช้อย่างต่อเนื่อง

ในส่วนของธุรกิจ LEO Coldbotic ซึ่งเป็นศูนย์จัดเก็บและกระจายสินค้าอัจฉริยะสำหรับไวน์ก็มีรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง และจะมีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาส 4/68 เนื่องจากมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นและเป็นช่วง High Season ของธุรกิจไวน์และร้านอาหารในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ และบริษัทก็จะเริ่มมีการรับรู้รายได้จากการให้บริการให้เช่า Power Bank จากบริษัทร่วมฯ LEO JITU ที่กำลังจะเริ่มให้บริการในไตรมาสที่ 4/68 นี้ด้วย

“ภาพรวมการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics มีการเติบโตของรายได้ และเป็นไปตามเป้าหมาย โดยธุรกิจใหม่เหล่านี้เริ่มมีรายได้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างรายได้ในระยะยาว เนื่องจากความไม่แน่นอนของธุรกิจหลัก ด้าน Freight ที่มีความผันผวนตามทิศทางของเศรษฐกิจโลกและอัตราค่าระวางเรือ บริษัทฯ จึงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการกระจายความเสี่ยง และเดินหน้าขยายธุรกิจในกลุ่ม Non-Freight / Non – Logistics ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และยังเป็นโอกาสในการสร้างรายได้และกำไรขั้นต้น ที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนหลักที่สนับสนุนการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน แต่เนื่องจากธุรกิจใหม่ๆ ของ LEO เป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนในทรัพย์สินและอุปกรณ์ค่อนข้างสูง และจำเป็นต้องใช้เวลาในการสร้างรายได้ให้ถึงจุด Breakeven ครอบคลุมค่าเสื่อมและดอกเบี้ยที่เกิดจากการลงทุน รวมถึงบางธุรกิจใหม่ก็จำเป็นที่จะต้องใช้เวลาในการสร้างฐานลูกค้า” นายเกตติวิทย์ กล่าว

นายเกตติวิทย์ ได้เปิดเผยถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/68 ว่ามีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับการฟื้นตัวของภาคการค้าและการขนส่งระหว่างประเทศ โดยบริษัทฯ มั่นใจว่าธุรกิจจะสามารถขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ และจะเป็นอีกหนึ่งช่วงสำคัญที่ท้าทายและพิสูจน์ความสามารถในการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ของบริษัท

สำหรับทิศทางในปี 2569 บริษัทฯ เตรียมต่อยอดความร่วมมือกับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในหลายประเทศ เพื่อขยายเส้นทางขนส่งไปยังตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตสูงในเอเชียและยุโรป ทั้งนี้บริษัทฯ มีแผนที่จะขยายธุรกิจโลจิสติกส์ข้ามแดน (Cross-Border Logistics) และ การขนส่งสินค้าทางรางระหว่างไทย–จีน เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมการค้า การผลิต และอีคอมเมิร์ซ ซึ่งกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วในภูมิภาค บริษัทฯ มองว่าการเชื่อมต่อเครือข่ายการขนส่งทางรางจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งในระยะยาว

พร้อมเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ไปยังตลาดจีนตอนใต้และยุโรปผ่านเส้นทางรถไฟสายจีน–ลาว ควบคู่กับการต่อยอดธุรกิจในเครือของ LEO ซึ่งเริ่มสร้างผลตอบแทนและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งในกลุ่มธุรกิจ Logistics และ Non-Logistics รวมถึงบริการที่เกี่ยวเนื่องกับ Green Logistics และ ESG Focused เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของกลุ่มธุรกิจโดยรวม และขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 พ.ย. 68)