ก.ล.ต.ดันงานวิจัยยกระดับกำกับดูแลตลาดทุนไทย หนุนใช้ AI สร้างเกณฑ์ฟื้นความเชื่อมั่น

นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวในงานสัมมนาวิชาการ “SEC Capital Market Symposium 2025” ว่า การนำงานวิจัยไปใช้เพื่อพัฒนาตลาดทุนถือว่าเป็นส่วนสำคญในการกำกับดูแลตลาดทุนในบทบาทของก.ล.ต. ทำให้ก.ล.ต. และหน่วยงานต่าง ๆ ได้ข้อมูลมาสนับสนุนในมุมมองที่ไม่มีอคติ ซึ่งข้อมูลต่าง ๆ ที่ทำการวิจัยเองหรือจากเครือข่ายงานวิจัยจากนักวิชาการ ซึ่งถือว่าเป็นข้อมูลที่ไม่มีความอคติและหลากหลายในมุมมองต่าง ๆ

โดยตัวอย่างของการนำงานวิจัยมาใช้ให้เป็นรูปธรรม เช่น จากงานปีที่ผ่านมา ซึ่ง ก.ล.ต.ใช้ AI คัดกรองข้อมูลที่อยู่ในโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะที่โพสต์ข้อความผ่านอินฟลูเอนเซอร์ (influencer) ต่าง ๆ ที่ต้องมีการกำกับและดูแลอย่างไร ซึ่งผลจากการวิจัยมาคัดกรองพบข้อเสนอที่ว่าควรระบุข้อห้ามอะไรทำได้หรืออะไรทำไม่ได้ ซึ่งนำไปสู่การออกโครงการ Responsible Voices สำหรับ Finfluencer เป็นต้น ซึ่งเป้าหมายของ ก.ล.ต. ไม่ได้กำกับอินฟลูเอนเซอร์โดยตรง แต่สร้างความร่วมมือโดยใช้ประโยชน์จากอินฟลูเอนเซอร์มาพัฒนาตลาดทุนในเชิงการให้ข้อมูลที่โปร่งใส ถูกต้อง และทันเวลาได้มากขึ้น

สำหรับปี 68 นี้มีงานวิจัยของ ก.ล.ต. มีจำนวน 2-3 เรื่อง โดยเฉพาะงานวิจัยชิ้นที่ 3 ซึ่งเป็นเรื่องการวัดผลตลาดทุนไทยมีระดับความน่าไว้วางใจมากน้อยแค่ไหน ซึ่งจะพบว่าตลาดทุนเป็นแหล่งของการระดมทุนและการออม ซึ่งสิ่งที่อยากเห็นคือแล้วมีกฎกติกาอะไรที่ทำให้ตลาดทุนไทยได้รับความไว้วางใจ จึงทำให้ต้องมีการประเมินเพื่อเอามาเป็นเครื่องมือในการใช้ในการกำกับและพัฒนา โดยปีนี้จะเริ่มวิจัยเป็นปีแรกและเชื่อว่าจะมีการวัดผล 1-2 ปีครั้ง เพื่อวัดผลว่าตลาดทุนไทยมีดัชนีที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง

โดยยอมรับว่างานวิจัยหนึ่งชิ้นใช้ทรัพยากรค่อนข้างมาก ทำให้การทำคนเดียวอาจมีข้อจำกัด ก.ล.ต. จึงมีการสร้างเครือข่ายของการวิจัย โดยมีผลงานวิจัยที่มาจากภาคนักวิชาการ ซึ่งจะทำยังไงให้งานวิชาการของเขาตอบโจทย์องค์ความรู้ใหม่ ๆ และเป็นความรู้ที่สามารถลงมือปฏิบัติในตลาดทุนได้

“เราไม่อยากเห็นงานวิจัยที่ไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง และเราอยากเห็นการตั้งคำถามและหารือเรื่องต่าง ๆ เพราะเชื่อว่าสำนักงาน ก.ล.ต.ต้องคุยกับ Stakeholders มาก ๆ ซึ่งหนึ่งใน Stakeholders ที่สำคัญคือกลุ่มนักวิชาการ” นางพรอนงค์ กล่าว

ขณะที่การจัดงานรอบนี้จะมีการนำเสนองานวิจัยที่ ก.ล.ต.คัดเลือกมา โดยดูจากผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อตลาดทุน เช่น การใช้ AI ในการดูเรื่องการผิดนัดชำระหนี้ของหุ้นกู้หรือการใช้เทคโนโลยีในการสร้างความสามารถในการกำกับดูแล

ส่วนที่สองเป็นการนำข้อมูลเชิงประจักษ์ เช่น เปิดเผยข้อมูลไปแล้วนำไปสู่หุ้นหรือหุ้นกู้ที่มีผลตอบแทนที่สูงกว่าคนที่ไม่เปิดเผยหรือไม่ เป็นต้น และสุดท้ายเป็นการศึกษาเพื่อไปออกแบบนโยบายว่าควรจะมีแนวปฎิบัติและเชิงนิเวศน์อย่างไร ซึ่งถือเป็นงานวิจัยในส่วนของสำนักงาน ก.ล.ต.เอง

ด้านการนำ AI มาปรับใช้ในตลาดทุนนั้น ก.ล.ต.ยังมีงานวิจัยที่ทำการสำรวจการใช้ AI ของผู้ประกอบธุรกิจภายใต้การกำกับของ ก.ล.ต.นำมาใช้ด้านไหนบ้างและเทคโนโลยีอะไร รวมถึงปิดความเสี่ยงอย่างไร ซึ่งเบื้องต้นผลสำรวจที่ออกมาพบว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังใช้ในระดับขั้นต้น ๆ จึงทำให้ความกังวลอาจยังมีไม่มาก แต่ ก.ล.ต. จะติดตามเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้คาดหวังการนำงานวิจัยมาใช้พัฒนาตลาดทุนไทย โดยอยากให้เชื่อมั่นว่าเวลา ก.ล.ต. ออกกฎเกณฑ์อะไร จะมีการใช้ข้อมูลและงานวิจัยในการสนับสนุนทิศทางที่จะไปหรือมีข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงที่ปราศจากอคติเพื่อมาออกแบบการดำเนินงาน ประกอบกับมีเวทีให้นักวิจัยได้แสดงผลงานและอยากเห็นความต่อเนื่องของการใช้ประโยชน์งานวิจัย ซึ่ง ก.ล.ต.ก็หวังเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการสนับสนุนผลงานวิจัยในตลาดทุน

“ก.ล.ต.เห็นคุณค่าในงานวิจัย ซึ่งมีงานวิจัยทั้งที่ทำเองและการส่งเสริมให้นักวิชาการทำ เพื่อท้ายที่สุดประโยชน์จะเกิดขึ้นกับตลาดทุน เพราะจะมีข้อมูลที่มาสนับสนุนในการประเมินและออกแบบนโยบายต่าง ๆ” นางพรอนงค์ กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 พ.ย. 68)