นายกฯ สั่งเร่งระบายน้ำสู่ภาคตะวันออก แบ่งเบาผลกระทบน้ำท่วมลุ่มเจ้าพระยา

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย กล่าวถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ภายหลังลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำที่ จ.อ่างทอง และ จ.พระนครศรีอยุธยา ว่า ได้เห็นในสิ่งที่เราต้องเร่งดำเนินการคือ การระบายน้ำให้พ้นจากเขตจังหวัดลุ่มน้ำเจ้าพระยาให้มากที่สุด เพราะจากที่นั่งเฮลิคอปเตอร์สำรวจ ทำให้เห็นว่ามีพื้นที่ที่น้ำยังสามารถระบายออกได้ทางภาคตะวันออก ดังนั้นจึงสั่งการให้นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ให้เร่งประสานกับกรมชลประทานต่อไป ถือเป็นข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีแล้ว ซึ่งทุกหน่วยจะต้องปฏิบัติตาม

สำหรับเงินช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่รับความเดือดร้อนจากเหตุอุทกภัยนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จะพยายามจัดสรรให้ได้มากที่สุด เพื่อทดแทนความเดือดร้อนให้กับประชาชน ซึ่งจะดูเป็นรายเดือนไม่ใช่ระบบเหมาจ่าย โดยพิจารณาจากความเดือดร้อนของแต่ละพื้นที่เป็นหลัก

“ในรายละเอียด ได้มอบหมายให้นายภราดร ปริศนานันทกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หาแนวทาง และเร่งนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีรับทราบ ซึ่งรวมไปถึงพื้นที่เกษตร และพื้นที่บ้านเรือนของประชาชน ก็จะได้รับการเยียวยาทั้งหมดด้วย ไม่ว่าจะอยู่ในส่วนไหนก็ตาม” นายกรัฐมนตรี กล่าว

ส่วนปริมาณระบายน้ำของเขื่อนหลักที่ระดับไม่เกิน 2,900 ลูกบาศก์เมตร/วินาทีนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หากดูจากพยากรณ์อากาศและการไหลของน้ำ คิดว่าระดับ 2,900 ลูกบาศก์เมตร/วินาที ยังถือว่าปลอดภัย ฉะนั้นจะต้องพยายามให้อยู่ในระดับนี้

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลจะเร่งอนุมัติโครงการต่าง ๆ เพื่อมาช่วยแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในระยะยาว เนื่องจากในแต่ละปี รัฐบาลต้องใช้งบประมาณจ่ายเป็นค่าชดเชยเยียวยาให้กับประชาชนที่ประสบอุทกภัยทั่วประเทศราว 3-4 หมื่นล้านบาท และจ่ายติดต่อกันมาหลายปีแล้ว รวมกันเป็นเงินหลายแสนล้านบาท

“ถามว่า เขาได้เงิน 9,000 บาท แลกกับบ้านเขาน้ำไม่ท่วม ผมเชื่อว่าเขาจะขอให้บ้านน้ำไม่ท่วมมากกว่า เพราะยังมีโครงการดี ๆ มากมายที่พร้อมได้รับการอนุมัติแล้ว แต่ที่ผ่านมา อาจมีปัญหาด้านการเมือง เดี๋ยวใครอนุมัติก็จะได้คะแนนเสียง เอาประชาชนเป็นตัวประกัน ไม่เอาแล้ว” นายอนุทิน กล่าว

พร้อมระบุว่า โครงการที่สร้างประโยชน์ให้กับประเทศ จะเร่งอนุมัติ เช่น โครงการป่าสัก และโครงการแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อให้มีความสามารถในการผันน้ำและระบายน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกเท่าตัว รวมถึงโครงการอื่น ๆ ที่เป็นการแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่ และถ้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำเสนอขึ้นมา ก็จะเร่งอนุมัติก่อนที่จะยุบสภา

“ไม่ถือว่าเป็นโปรเจกต์อะไรทั้งนั้น ถือว่า ถ้าทำแล้วประเทศได้ประโยชน์ในระยะยาว ประชาชนไม่เดือดร้อน ตรงนี้ถือเป็นเมกะโปรเจกต์สำหรับผม ไม่ใช่เมกะโปรเจกต์ในเรื่องจำนวนเงิน หรือขนาดของโครงการเรื่องของงบประมาณ” นายกรัฐมนตรี ระบุ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 พ.ย. 68)