
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 2% ทะลุระดับ 4,200 ดอลลาร์ในวันพุธ (12 พ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รวมทั้งความหวังที่ว่าหน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ จะกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง ซึ่งจะทำให้มีการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญ ก่อนการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในเดือนธ.ค. โดยขณะนี้นักลงทุนยังคงคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้
- ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 97.3 ดอลลาร์ หรือ 2.36% ปิดที่ 4,213.60 ดอลลาร์/ออนซ์
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ร่วงลง 1% แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 5 พ.ย. ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนตลาด เนื่องจากการปรับตัวลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะช่วยลดต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย
สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เตรียมลงมติร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวในวันพุธตามเวลาสหรัฐฯ หรือตรงกับช่วงเช้าของวันนี้ (13 พ.ย.) ตามเวลาไทย เพื่อยุติการชัตดาวน์หน่วยงานของรัฐบาลที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ โดยหากสภาผู้แทนราษฎรลงมติอนุมัติร่างกฎหมายดังกล่าว ก็จะส่งต่อไปยังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อลงนามบังคับใช้เป็นกฎหมาย
นักวิเคราะห์จาก JPMorgan คาดการณ์ว่า ราคาทองจะพุ่งทะลุ 5,000 ดอลลาร์/ออนซ์ภายในไตรมาส 4 ของปี 2569 โดยได้แรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางและผู้บริโภคเป็นผู้ซื้อสำคัญในช่วงที่ราคาทองอ่อนตัวลง
ส่วนธนาคาร ANZ ระบุในรายงานว่า ราคาทองคำได้ทะลุผ่านแนวต้านที่ระดับ 4,050 ดอลลาร์/ออนซ์ ทำให้มีแนวต้านถัดไปที่ระดับ 4,160-4,170 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งหากราคาทองทะลุผ่านช่วงนี้ได้ ก็จะมีโอกาสพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4,381 ดอลลาร์/ออนซ์
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 พ.ย. 68)





