มองมุมต่าง: ข้อมูล vs เรื่องเล่า ความเข้าใจผิดที่ทำให้รายย่อยแพ้เกมตลาดหุ้นไทย

ความคาดหวังที่ไม่สมหวังของ หุ้นไทย กับ นักลงทุนรายย่อย เป็นภาพที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า คล้ายวัฏจักรของ “ความหวัง” ที่มีความพยายามมุ่งหน้าไปสู่ “ความจริง” แต่สุดท้ายกลายเป็น “ความเจ็บ” หลังจากที่ไม่สมหวังจากการลงทุนในตลาดหุ้นไทย

ทั้งหลายทั้งปวงนี้ เกิดจากทั้งหลายเหตุหลายปัจจัย ทั้ง โครงสร้างตลาดหุ้นไทย, พฤติกรรมการเก็งกำไร รวมถึงพฤติกรรมการใฝ่รู้ทางด้านข้อมูล

ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้เกิดคำถามขึ้นมากมาย ดังนี้

1.ทำไม “ความคาดหวัง” จึงสูงกว่า”ความจริง”ในตลาดหุ้นไทยเสมอ?

1.1 ตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging Market) ที่มีการใช้ “Story driven” มากกว่าตลาดที่พัฒนาแล้ว (Developed Market) ที่ใช้ “Data driven”

กล่าวคือ หุ้นไทยจำนวนมากราคา “วิ่งด้วยเรื่องเล่า” หรือมี Story driven เช่น หุ้นกำลังจะได้ดีลใหม่, หุ้นนี้จะมีกำไรเติบโตก้าวกระโดด, หุ้นกำลังเข้าธีมใหม่ เช่น ธุรกิจ EV, โรงไฟฟ้า, กัญชา, อาหาร, ส่งออก ฯลฯ

เมื่อมี Story นักลงทุนรายย่อยมักจะเชื่อเร็ว เพราะอยากได้โอกาสที่จะรวยไว รวยเร็ว

1.2 Data driven ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล หมายถึง ราคาหุ้นที่เคลื่อนไหวตามข้อมูลจริงที่ตรวจสอบได้ เช่น กำไรไตรมาสเติบโตจริง,งบการเงินแข็งแรง, ตัวเลขยอดขาย, อัตราส่วนทางการเงินที่แข็งแรง (PE, PBV, ROE) รวมถึงผู้บริหารส่งสัญญาณชัดเจนทางด้านตัวเลขทางการเงิน

จุดเด่นของ data driven ความเสี่ยงต่ำกว่า เพราะมีตัวเลขรองรับและเหมาะกับการลงทุนระยะกลาง-ยาว โดยมีความผันผวนไม่สูงเท่า story driven แต่ข้อจำกัด คือ ราคาหุ้นขึ้นช้ากว่าเพราะตลาดต้องเห็นผลลัพธ์ก่อน ถ้าเป็นหุ้นใหญ่ ข้อมูลดีแต่ราคาวิ่งช้า อาจไม่น่าสนใจกับพวกที่ชอบเก็งกำไร

นอกจากนี้ นักลงทุนไทยจำนวนมากมัก “ซื้อข่าวลือ แต่ขายข่าวจริง”

เมื่อเกิดข่าวดี เช่น คาดว่างบจะดี โบรกฯบางแห่งให้ราคาเป้าสูง และมักมีข่าวลือหลุดออกมาก่อนว่าจะมีกำไรเติบโตแรง

ประเด็นดังกล่าวทำให้นักลงทุนรายย่อยจำนวนหนึ่งจะไล่ราคาจนทำให้ราคาขึ้นไปไกลกว่าความจริง

แต่พอประกาศงบจริงออกมา ตัวเลขไม่ถึงตามที่คาดการณ์ไว้ นักลงทุนที่มีต้นทุนต่ำเทขาย สุดท้ายรายย่อยเข้าไปติดดอยแบบไม่รู้ตัว

 

2.ปัญหาสำคัญ ความรู้สนใจในข้อมูลความรู้ไม่เท่ากัน (Information Gap)

2.1 นักลงทุนรายใหญ่มักจะให้ความสำคัญในการรู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับข้อมูลของบริษัท และมีความเข้าใจมากกว่ารายย่อยทั่วไป เนื่องจากการใช้เม็ดเงินลงทุนค่อนข้างเยอะและมีนัยสำคัญ จึงทำให้ต้องมีความรอบคอบจากการลงทุนค่อนข้างสูง

โดยความหมายของ นักลงทุนรายใหญ่ ในที่นี้หมายถึง กองทุน, สถาบัน, นักลงทุนต่างชาติ หรือ บุคคลที่มีสัดส่วนการลงทุนค่อนข้างสูง

นอกเหนือจากการมีความรู้พื้นฐานบริษัทที่ดีกว่า มีการประชุมผู้บริหาร (analyst meeting) และมีเครื่องมือวิเคราะห์ระดับลึก หรือมีทีมนักวิเคราะห์ประจำ sector เหล่านี้เป็นเครื่องมือที่รายย่อยไม่สามารถมีได้

นี่จึงเป็นที่มาของ คำว่า “รายย่อย” มักรับรู้ข้อมูลข่าวสารช้ากว่า “รายใหญ่” และมักจะเข้าซื้อช่วงที่ราคาสูงที่สุด และมักขายได้ที่ราคาต่ำ หรือขายเป็นคนสุดท้าย

2.2 นักลงทุนรายใหญ่ มักตั้งความหวังแบบมีเหตุผล แต่รายย่อยตั้งเป้าหมายตามอารมณ์

นักลงทุนรายใหญ่ มักจะดูว่ากำไรควรจะเติบโตไปที่เท่าไหร่ จึงถือว่า “ดีจริง”

ในทางกลับกัน การมีกำไรต่ำกว่าคาดเท่าไหร่ถือว่า “แย่หนัก” สิ่งเหล่านี้อยู่ในสมองของนักลงทุนรายใหญ่

ในขณะที่ รายย่อย มักจะคิดแบบง่ายๆ เช่น ถ้ากำไรโต ราคาหุ้นต้องขึ้น แต่ไม่ใช่เพราะตลาดสนใจ “มากกว่าหรือแย่กว่าที่คาดไว้”

โดยแนวความคิดจะแตกต่าง ไม่ใช่โต หรือไม่โต อย่างที่รายย่อยคิด

 

3.ทำไมนักลงทุนรายย่อยจึง “ผิดหวังซ้ำซาก”?

3.1 เพราะซื้อตอนราคาขึ้นจากความคาดหวัง ไม่ใช่ตอนราคาถูก หรือต่ำกว่าความเป็นจริง ส่วนใหญ่รายย่อยมักทำสิ่งนี้โดยไม่รู้ตัว

ขอยกตัวอย่าง หุ้นขึ้นแรงเพราะข่าวดี ทำให้รายย่อยรีบเข้ามาซื้อ พอราคาหุ้นเริ่มลงหลังงบออกเลยไม่กล้าขาย

เหตุการณ์เหล่านี้ ทำให้ช่วงที่หุ้นลงหนัก รายย่อยจะกลายเป็นคนที่ติดดอย

เหตุปัจจัยเหล่านี้เกิดจากการซื้อเพราะกลัวตกขบวน (FOMO) ไม่ใช่ซื้อเพราะประเมินมูลค่าที่แท้จริง

3.2 การเก็งกำไรด้วยความหวัง แต่ไม่มีแผนรับมือเมื่อผิดหวัง

รายย่อยจำนวนมาก ไม่มีจุด stop loss ไม่มีแผนวิเคราะห์งบ และไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังงบออก ประกอบกับไม่รู้ว่า Story พังแล้วต้องรีบออกทันที

สุดท้ายเลยต้องถือยาว เพราะจำใจ และถูกบังคับ ไม่ใช่ถือยาวเพราะตั้งใจ หรืออยากถือลงทุน

 

4.ความคาดหวังของรายย่อย ปะทะ ความจริงของตลาดหุ้นไทย

สิ่งที่รายย่อยส่วนใหญ่ คาดหวัง หุ้นดี ราคาจะต้องขึ้น ตลาดต้องตอบรับดี

หุ้นขึ้นแรง จะต้องมีข่าวดีจริง, โบรกฯให้เป้าสูง หุ้นจะไปถึง, หุ้นที่คนพูดถึงเยอะโอกาสขึ้นสูง

รวมถึงถ้าถือยาว สุดท้ายไม่ขาดทุน เหล่านี้เป็นความเชื่อของนักลงทุนรายย่อย

ความจริงที่ว่า ตลาดหุ้นไทยจะสะท้อนพฤติกรรมของผู้ลงทุน หุ้นดีอาจไม่ขึ้นเพราะแพงเกินจริง งบดีแต่แย่กว่าคาดทำให้หุ้นลง

นอกจากนี้ ราคาเป้าหมาย คือ ความเห็นของนักวิเคราะห์ ไม่ใช่สิ่งที่สัญญาว่าราคาหุ้นจะวิ่งขึ้นไป

ยิ่งคนพูดถึงเยอะ ยิ่งเสี่ยงว่าราคาจะขึ้นมามากแล้ว การถือยาวแบบผิดตัวผิดจังหวะจะขาดทุนหนักกว่าการเล่นสั้น

 

5.ทำอย่างไรให้รายย่อย “ไม่ผิดหวังอีกต่อไป”?

5.1 ต้องดูว่า “ตลาดคาดหวังอะไร” ก่อนดูงบจริง เช่นโบรกเกอร์คาดกำไรเท่าไหร่ ราคาหุ้นวิ่งล่วงหน้ามากแค่ไหน, ค่า P/E ตอนนี้สูงกว่าค่าเฉลี่ยหรือไม่

5.2 อย่าซื้อหุ้นตอนที่ตลาดกำลังคาดหวังสูงสุด เพราะราคาจะเต็ม (fully valued) หรือแพงเกินจริง (overvalued)

5.3 ต้องมีวินัยเวลาซื้อหุ้น เพราะเวลาขายก็เพราะเหตุผลเช่นกัน ไม่ใช่ซื้อเพราะอารมณ์ หรือความโลภ พอจังหวะขาย เพราะกลัว แบบนี้ไม่เอา

5.4 ต้องเรียนรู้ว่า “งบดีไม่พอ ต้องดีกว่าที่คาด”

นี่คือกฎเหล็กในตลาดหุ้นทุกแห่งในโลก และวิธีที่จะทำกำไรจากตลาดหุ้น

5.5 จัดการอารมณ์และหลุมพรางที่เจอบ่อย เช่น กลัวตกรถ (FOMO), อยากรวยเร็ว, เชื่อข้อมูลจากโซเชียลมากเกินไป, ไม่อ่านงบ ไม่วิเคราะห์มูลค่าที่แท้จริงของราคาหุ้น และข้อสำคัญ ไม่เข้าใจว่ารายใหญ่คิดอย่างไร!?

สรุปนักลงทุนรายย่อย มัก คาดหวังการปรับตัวจาก “เรื่องเล่า”

แต่ตลาดหุ้นมักเคลื่อนไหวตาม “ตัวเลขจริง” และตัวเลขที่ตลาดคาดการณ์

ดังนั้น เมื่อความคาดหวังพองตัวสูง จะสร้างโอกาสผิดหวังมาก

และราคาหุ้นจะร่วงแรงเกินกว่าที่คิดเสมอ

ธิติ ภัทรยลรดี

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 พ.ย. 68)