ผู้ว่าการเฟดหนุนหั่นดอกเบี้ยเดือนธ.ค. รับมือตลาดแรงงานชะลอตัว

คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ หนึ่งในสมาชิกคณะผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้สนับสนุนให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในการประชุมเดือนธ.ค. โดยกล่าวว่าเขาเริ่มกังวลเกี่ยวกับตลาดแรงงานและการชะลอตัวอย่างรวดเร็วของการจ้างงาน

วอลเลอร์กล่าวในงานเสวนาซึ่งจัดขึ้นโดยกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ในกรุงลอนดอนว่า เขาไม่มีความกังวลว่าเงินเฟ้อจะเร่งตัวขึ้นหรือการคาดการณ์เงินเฟ้อที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่สิ่งที่เขาให้ความสำคัญในขณะนี้คือตลาดแรงงาน หลังจากตลาดแรงงานอ่อนแอลงเป็นเวลาหลายเดือน พร้อมกับกล่าวว่า เป็นไปได้ยากที่ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนก.ย.ซึ่งจะมีการเผยแพร่ในสัปดาห์นี้ หรือข้อมูลอื่น ๆ ในช่วง 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า จะเปลี่ยนแปลงมุมมองของเขาที่ว่าเฟดควรจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก

วอลเลอร์แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาสนับสนุนให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ขณะเดียวกันก็กล่าวว่า ข้อมูลเงินเฟ้อบ่งชี้ว่ามาตรการภาษีศุลกากรจะไม่มีผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อในระยะยาว โดยเขากังวลว่านโยบายการเงินที่เข้มงวดกำลังฉุดรั้งเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบที่ต่อกลุ่มผู้บริโภคที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง

“การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. จะสร้างหลักประกันเพิ่มเติมว่าเราสามารถรับมือกับตลาดแรงงานที่ชะลอตัวลงอย่างรวดเร็ว และจะทำให้นโยบายการเงินมุ่งสู่ความเป็นกลางมากขึ้น” วอลเลอร์กล่าว

นอกจากนี้ วอลเลอร์ยังปฏิเสธคำกล่าวอ้างที่ว่าเฟดดำเนินนโยบายการเงินแบบไร้ทิศทาง เนื่องจากการปิดหน่วยงานรัฐบาลทำให้การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการเกือบทั้งหมดถูกระงับไป โดยเขากล่าวในเรื่องนี้ว่า แม้จะมีการปิดหน่วยงานรัฐบาล แต่เฟดก็มีข้อมูลมากมายจากภาคเอกชนและข้อมูลบางส่วนจากภาครัฐ ซึ่งแม้จะให้ภาพรวมที่ไม่สมบูรณ์ แต่ก็สามารถทำให้เฟดนำมาใช้ในการประเมินภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ได้เป็นอย่างดี

คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของเฟดจะจัดการประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 9-10 ธ.ค.นี้ ขณะที่ตลาดมีความเห็นที่แตกต่างกันว่าเฟดจะดำเนินการไปในทิศทางใด หลังจากที่เฟดได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมทั้งในเดือนก.ย.และเดือนต.ค.

ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 48.6% ในการคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนธ.ค. ซึ่งลดลงจากระดับ 62.4% ในสัปดาห์ที่แล้ว

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 พ.ย. 68)