เพื่อไทย จวกนายกฯ ไม่จริงใจใช้ร่างรธน.เป็นตัวประกัน ขู่ยุบสภาฯ ก่อนยื่นซักฟอก แย้มร่างญัตติไว้แล้ว

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ส่งสัญญาณพร้อมยุบสภาในวันที่ 12 ธ.ค. หากฝ่ายค้านยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า รัฐบาลมีชนักหรือไม่ จึงกลัวว่าหากอภิปรายแล้วจะไม่สามารถโน้มน้าวพรรคการเมืองอื่นให้ร่วมลงมติได้ ถ้าไม่ได้ทำความผิดก็ไม่ต้องกลัว พวกตนหากอภิปรายแล้วไม่มีข้อมูลไม่มีเนื้อหา สุดท้ายความเสียหายตกกับพวกตนแต่กระบวนการตรวจสอบต้องเกิด

นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ได้มีการเตรียมร่างญัตติไว้แล้วส่วนจะยื่นเมื่อไหร่เป็นอำนาจหน้าที่ของพรรคเพื่อไทย ซึ่งจะต้องมีการหารือกันเพื่อหาจังหวะที่เหมาะสม เห็นได้ชัดว่า รัฐบาลพยายามใช้เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญตัวประกันไม่ให้มีกระบวนการในการยื่น การลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญหากผ่านแล้ว หมายความว่ารัฐบาลดำเนินการตามข้อตกลง คือให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และอนุญาต สว. เสียงส่วนใหญ่มาร่วมลงมติผ่านแล้ว กระบวนการทุจริตคอร์รัปชั่น หรือกระบวนการความเสียหายให้กับประเทศ พรรคฝ่ายค้านเพื่อไทยจะต้องยกให้ทั้งหมด เพราะฉะนั้นเรื่องความเสียหายต่อประเทศ และการกระทำที่ผิดต่อกฎหมาย ในฐานะการเมืองไม่สามารถเว้นได้ มีความจำเป็นที่ต้องดำเนินการครบถ้วน หากมีอะไรที่เป็นเรื่องกระทำให้ถูกพรรคการเมืองฝ่ายค้านจะต้องดำเนินการ ส่วนรัฐบาลเป็นเวทีที่มีโอกาสตอบ

นายจุลพันธ์ ระบุว่า ตนสงสัยว่ารัฐบาลกำลังใช้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นตัวประกัน เพื่อกดดันไม่ให้ฝ่ายค้านเดินหน้าตรวจสอบเพราะเห็นแต่กระบวนการในการแก้ไขเรื่องคดีความ การโยกย้ายข้าราชการ เหมือนเตรียมการเลือกตั้ง ตรงจุดนี้มองว่า สิ่งที่ไปตกลงกันไว้เรื่องการทำ MOA ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการแต่อย่างใด จึงสงสัยว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญในชั้นกรรมาธิการอนาคตจะจบอย่างไร และสุดท้ายเชื่อว่ากระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญคงประสบความสำเร็จได้ยาก

ส่วนกรณีการส่งสัญญาณของรัฐบาลทำให้เข้าใจว่าหากยุบสภาเป็นเพราะพรรคเพื่อไทยหรือไม่นั้น นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ต้องดูความจริงใจตั้งแต่ต้นในการเข้าสู่ MOA มีเจตนาว่าจะเดินไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่สำเร็จอยู่แล้วหรือไม่ ถ้าไม่ได้กระทำผิด เช่น การปัดเป่าคดี การแก้ไขปัญหาสแกมเมอร์ การทุจริตคอร์รัปชั่น ปัญหาชายแดน พรรคเพื่อไทยไม่มีเรื่องให้ยื่นอภิปราย

“ชลน่าน” มองนายกฯ ท้าทาย-ขู่ฝ่ายค้าน ใช้ร่างรธน.เป็นตัวประกัน

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม รัฐสภา กล่าวถึงกรณีนายอนุทิน เตรียมยุบสภาในวันที่ 12 ธ.ค.68ว่า เป็นการท้าทายและขู่ฝ่ายค้านที่เตรียมยื่นญัตติขออภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ ซึ่งมีนัยยะส่งถึงการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เนื่องจากนายกฯ ระบุว่าหากมีอะไรเกิดขึ้นให้ไปรับผิดชอบกันเอง อย่าโทษนายกฯ เท่ากับเอาร่างรัฐธรรมนูญเป็นตัวประกัน

ขณะนี้มีประเด็นที่ต้องพิจารณา คือ เนื้อหาของการแก้รัฐธรรรมนูญ เพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่า เป็นไปตามวัตถุประสงค์หรือไม่ หากไม่สามารถไปสู่ความคาดหวังได้ โดยเฉพาะที่มาของ กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ ที่พบว่าเสียงข้างมากถูกครอบงำจากสีใดสีหนึ่ง ซึ่งส่งผลให้การจัดทำรัฐธรรมนูญไม่สามารถได้รัฐธรรมนูญฉบับที่ดีที่สุดและดีกว่ารัฐธรรมนูญ 2560 ไม่ได้ จึงเป็นความชอบธรรมที่พรรคเพื่อไทยจะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจหลังการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมในวาระสองแล้วเสร็จ

ขณะนี้ กมธ.พิจารณาเนื้อหาครบทุกมาตรา แต่ยังรอพิจารณาไว้ 16 มาตรา ซึ่งเป็นบทประกอบเท่านั้นแต่บทหลักผ่านไปแล้ว อย่างไรก็ดีในประเด็นที่มาของ กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ 35 คนที่กำหนดที่มาจากการสมัครและมี 100 คนรับรอง เหมือนจะเปิดให้มีส่วนร่วม แต่ประเด็นดังกล่าวจัดตั้งได้ผ่านกลุ่มการเมืองและพรรคการเมืองที่มีสมาชิก ซึ่งสามารถกำหนดตัวได้มาตั้งแต่การสมัคร ส่วนสูตร 20 หยิบ 1 นั้นตอบได้ทันทีว่าจะทำให้ กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญเป็นของเสียงข้างมากของรัฐสภาสมัยหน้าแน่นอน เพราะสูตรดังกล่าวกำหนดให้เป็นไปตามสัดส่วนของพรรคการเมืองเสียงข้างมาก

“รัฐสภาสมัยหน้าคาดการณ์จากสีใดมีเสียงข้างมากในรัฐสภา คือ มีสว. คาดการณ์ว่ามี 160 เสียง ขณะที่การรวมตัวเป็นรัฐบาล แนวโน้มเห็นได้ว่าสีใดจะเป็นรัฐบาล หากสามารถรวมพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลเสียงข้างมาก ซึ่งผมเชื่อว่าจะรวมได้ 320 เสียง เมื่อรวมกับ สว. จะได้ 480 เสียง เท่ากับว่าจะได้กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ 24 คน จาก 35 คน ถือเป็นเสียงข้างมากเด็ดขาด ดังนั้นจึงเป็นความยากที่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะเป็นไปตามคาดหวัง” นพ.ชลน่าน กล่าว

ในการประชุม กมธ.วันนี้ ตนจะเสนอให้ทบทวนเนื้อหา ทั้งการตัดส่วนที่ให้ประชาชน 100 คนรับรอง ซึ่งเป็นการปิดกั้นผู้สมัครอิสระ เพื่อเปิดให้มีตัวเลือกมากขึ้น และประเด็นการกันไม่ให้จัดตั้ง จะเสนอให้กำหนดสัดส่วนไว้ เช่น รายพื้นที่ 20 ที่ใช้เกณฑ์รายภาค ตามความเชี่ยวชาญ อาชีพต่าง ๆ แม้จะมีการจัดตั้งแต่ส่วนหนึ่งมั่นใจว่ามีตัวแทนกระจายไม่ใช่หยิบคนของตัวเองได้

สำหรับวิธีเลือก กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อป้องกันเสียงข้างมากครอบงำ ตนเสนอวิธีให้ใช้เห็นพ้องต้องกันของทุกฝ่าย โดย กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ ต้องได้เสียงเห็นด้วยจากฝ่ายค้าน 20% และเสียง สว. 1 ใน 5 ด้วย ทั้งนี้หากใช้สูตร 20 หยิบ 1 จะหนีจากการจัดตั้ง ชี้นำ และครอบงำไม่ได้ ซึ่งพรรคเพื่อไทยมีโอกาสได้แก้ไขทั้งในชั้นกมธ. และในวาระสองต่อที่ประชุมรัฐสภา

“จากที่เสนอไปแล้วและเท่าที่ฟัง หลายฝ่ายพยายามคัดค้าน แต่ กมธ.ของเพื่อไทยพยายามเรียกร้องสิทธิ แต่การให้ทบทวนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับมติเสียงข้างมากและความเป็นเหตุเป็นผลความไม่สมบูรณ์ของตัวร่าง หากเห็นว่าวิธีที่ผมเสนอ กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญต้องได้รับฉันทามติและเห็นร่วมจากทุกฝ่ายอย่างแท้จริง อาจจะเอาด้วยเพราะพรรคประชาชนอยากได้แบบนั้น ส่วนพรรคเพื่อไทยก็อยากได้ อาจจะเอาด้วยก็ได้ หากเห็นเป็นประโยชน์ อาจทบทวนขึ้นอยู่กับเนื้อหสาระ” นพ.ชลน่าน กล่าว

หากมีการทบทวนและแก้ไขตามประเด็นเสนอได้จะพิจารณายืดเวลายื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า “เป็นข้อพิจารณา เพราะพรรคเพื่อไทยมีวัตถุประสงค์อยากได้ทั้งสองอย่าง ไม่ผูกมัด แต่ไปด้วยกันได้”

กรณีพรรคประชาชนพยายามเสนอเพื่อไม่ให้ผู้ร่างถูกกินรวบนั้น นพ.ชลน่าน ยอมรับว่า กินรวบไม่ได้ หากเทียบกับการใช้เสียงข้างมากลงมติ แต่วิธี 20 หยิบ 1 จะมีเสียงข้างน้อยได้บ้างเพื่อทัดทานเท่านั้น แต่สุดท้ายเสียงข้างมากจะกำกับและกำหนดได้ เพราะใช้มติตัดสิน ส่วนการเปิดช่องฟอกขาวก็เป็นความกังวล แต่ในชั้นการพิจารณาต้องติดตาม เพราะสิ่งที่พูดคือทิศทางจะเกิดแต่อาจไม่เกิดก็ได้ เพราะ กมธ.ที่เลือกมาอาจตั้งใจทำรัฐธรรมนูญจริง โดยไม่เอาการเมืองหรือผลประโยชน์การเมืองมาเกี่ยวข้อง

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 พ.ย. 68)