ตลท.มอง IPO ผ่านจุดต่ำสุดแล้วลั่น ชี้ราคาต่ำจองไม่ใช่แค่ตั้งสูงแต่ภาวะตลาดไม่เอื้อ

นายสรวิศ ไกรฤกษ์ รองผู้จัดการสายงานผู้ออกหลักทรัพย์และสายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า แนวโน้ม IPO ในปี 69 คาดว่าหวังจะสูงกว่าปีนี้ที่มีมูลค่า IPO อยู่ที่ 1.2 หมื่นล้านบาท จำนวนบริษัทลงทุน 17 บริษัท มองว่าปี 68 เป็นจุดต่ำสุดของ IPO แล้ว ด้านมูลค่าการลงทุนคาดหวังว่าอย่างน้อยจะมีบริษัทขนาดใหญ่เข้ามาอย่างน้อย 1-2 บริษัท ซึ่งยังมีอีกหลายบริษัทที่เรากำลังพูดคุย โดยปัจจุบันมองว่าอยู่ในช่วงขาขึ้นของ IPO

ขณะที่การดึงบริษัทจดทะเบียนที่ได้ BOI เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นอีกเรื่องที่เราพยายามผลักดันเพื่อเพิ่มสีสันให้กับตลาดทุน แต่อาจไม่ใช่โครงการที่เราเห็นในปีหน้าเลยทันที เนื่องจากโดยปกติกระบวนการเตรียมตัวเพื่อจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ใช้ระยะเวลาราว 1-2 ปี หากกฎระเบียบมีความชัดเจนในปีนี้ จะมีความร่วมมือกับผู้ประกอบการเหล่านั้นและจะเริ่มเห็นความชัดเจนเข้ามา ซึ่งจะเป็นหนึ่งในช่วงทางที่จะดึงดูด New Economy เข้ามาในตลาดทุนไทย

“การเข้ารับตำแหน่งในครั้งนี้ เป้าหมายคือการขับเคลื่อนตลาดทุนไทย โดยภารกิจสำคัญที่สุดคือการทำให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น รวมทั้งสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างฝ่ายกำกับดูแลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง” นายสรวิศ กล่าว

สำหรับการเข้ารับตำแหน่งในครั้งนี้ กลยุทธ์หลักจะมุ่งเน้นการสร้างความน่าสนใจให้กับผู้ออกหลักทรัพย์และนักลงทุน ทั้งฝั่งอุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply) คือการดึงดูดนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนมากขึ้น ควบคู่ไปกับการทำให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดมีความน่าสนใจยิ่งขึ้น ทั้งบริษัทที่จดทะเบียนอยู่แล้วและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่จะเข้ามาในอนาคต ซึ่งจะมีการเปิดเผยแผนการดำเนินงาน (Action Plan) อย่างละเอียดอีกครั้งในเดือนม.ค. 69

ด้านแนวโน้มตลาด IPO อยู่ในภาวะขาลงอย่างน่าเป็นห่วง โดยมูลค่าการเสนอขายลดลงอย่างต่อเนื่องจากที่เคย แตะระดับแสนล้านบาท แต่เริ่มลดลอย่างเห็นได้ชัดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เหลือเพียง 1.2 หมื่นล้านบาทในปีนี้ จากจำนวน IPO ทั้งหมด 17 บริษัท ซี่งต้องยอมรับว่าภาวะ IPO สอดคล้องกับสภาวะตลาดหุ้นโดยรวม แต่ในช่วงที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยขาขึ้น ก็มีบริษัทที่อยากเข้าระดมทุนเพื่อนำเงินไปลงทุนตามแผนธุรกิจ อย่างไรก็ตามช่วง 2 ปีหลังสภาพเศรษฐกิจโดยรวม รวมทั้งสภาพตลาดที่ไม่ค่อยดี ส่งผลกระทบต่อจำนวนและมูลค่า IPO ที่เห็นในปัจจุบัน

“หลายบริษัทมีแผนระดมทุนโดยตั้งเป้าหมายเม็ดเงินระดมทุนที่ต้องการ แต่ผูกกับ Index ในอดีตที่อยู่ในระดับสูง ทำให้เขาอาจต้องชะลอแผนบ้าง บางกรณียื่นไฟลิ่งแล้ว เลือกไม่ขาย บางกรณีก็เลือกไม่ยื่นเลย เพราะเม็ดเงินที่เขาได้อาจจไม่ได้อยู่ในระดับที่เคยคาดหวัง” นายสรวิศ กล่าว

โดยรายละเอียดการเข้าระดมทุนในปีนี้ ครึ่งปีแรก มี IPO เข้ามาเพียง 5 บริษัท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดเล็ก เนื่องจากสภาวะตลาด (Market Sentiment) ยังไม่เอื้ออำนวย ขณะที่ครึ่งปีหลัง มี IPO เข้ามาถึง 12 บริษัท ตั้งแต่เดือนส.ค.เป็นต้นมา ซึ่งเป็นช่วงที่ Sentiment ตลาดกลับมาดี

หากดู IPO 12 ตัวที่เข้ามาในครึ่งปีหลัง พบว่า หากนับตามจำนวนบริษัทจะมีถึง 8 บริษัท หรือ 2 ใน 3 ที่ราคาหุ้นปัจจุบันต่ำกว่าราคาจอง และอีก 4 ตัวราคาเหนือจอง แต่ในทางกลับกัน หากนับตามมูลค่าการลงทุนในวันแรก ภาพจะกลับกันอย่างสิ้นเชิง โดย 60% ของเม็ดเงินลงทุนยังคงให้ผลตอบแทนเป็นบวก (สูงกว่าราคาจอง) ขณะที่มีเพียง 40% ที่ต่ำกว่าราคาจอง เหตุผลหลักเป็นเพราะหุ้น IPO ขนาดใหญ่ 2 ตัวจาก 4 ตัวที่ราคาสูงกว่าจอง มีมูลค่าการเสนอขายสูงมาก เพราะเป็นหุ้นขนาดใหญ่ จนทำให้มูลค่ารวมของ 8 บริษัทที่ราคาต่ำจอง ยังน้อยกว่ามูลค่าของหุ้น IPO ขนาดใหญ่พิเศษเพียงตัวเดียว สะท้อนว่าเหตุผลที่ทำให้ราคาหุ้น IPO ต่ำจองในวันแรกมีเหตุลผลที่ต่างกันในแต่ละกรณี

สำหรับราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงหลังเข้าเทรด มีปัจจัยประกอบหลายอย่าง ไม่ใช่แค่เรื่องการตั้งราคาเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงพฤติกรรมนักลงทุน ในช่วงที่ภาวะตลาดไม่ดี นักลงทุนรายย่อยอาจมีความอ่อนไหวต่อราคาและอารมณ์ตลาดสูง (Price Sensitive) ส่งผลให้เกิดแรงเทขายในวันแรกได้ง่าย ภาวะตลาด ณ วันที่เข้าเทรด (Market Sentiment) เห็นได้ชัดจากปริมาณการซื้อขายวันแรกเทียบกับมูลค่าเสนอขาย (Turnover) โดยหุ้นที่เข้าเทรดช่วงเดือนส.ค.มี Turnover สูงถึง 4-5 เท่า สะท้อนความเชื่อมั่นที่สูง แต่หุ้นที่เข้าเทรดในเดือนพ.ย.มี Turnover ไม่ถึง 1 เท่า ซึ่งหมายถึงมีแรงขายมากกว่าแรงซื้อ เนื่องจาก Sentiment ภาพรวมไม่ดี นักลงทุนไม่มีกำลังซื้อ หรือยังไม่อยากเข้าซื้อในช่วงนั้น

อย่างไรก็ตามในหุ้น 12 ตัวที่เข้าตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง ส่วนใหญ่เสนอขายให้นักลงทุนรายย่อยเท่านั้น มีเพียง 2 ตัวขนาดใหญ่ที่มีสัดส่วนการเสนอขายสถาบันที่ค่อนข้างสูง ซึ่งสถาบันที่มีความเข้าใจในธุรกิจที่อาจลึกซึ้งกว่า ทำให้ไม่อ่อนไหวต่อราคาและภาวะตลาด รวมทั้งมีการลงทุนระยะยาวมากกว่า ขณะที่รายย่อยที่มีความอ่อนไหว ทำให้มีแรงขายวันแรกมาก

ทั้งนี้มองว่าการลงทุน IPO ไม่ควรหวังผลกำไรระยะสั้น ซึ่งต้องทำงานร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง ตลาดหลักทรัพย์ฯ และคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รวมทั้ง FETCO เพื่อสื่อสารให้นักลงทุนเข้าใจว่าการลงทุน IPO ไม่ใช่เพียงการลงทุนทำกำไรขั้นหนึ่ง แต่การลงทุนต้องศึกษารายละเอียด วิเคราะห์ธุรกิจอย่างลึกซึ้ง

สำหรับความกังวลเรื่องกลไกการตั้งราคานั้น ตลท.ยืนยันว่ากระบวนการกำหนดราคา IPO ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นแบบ Book Building สำหรับหุ้นขนาดใหญ่ หรือการเปรียบเทียบค่า P/E สำหรับหุ้นขนาดเล็ก ล้วนเป็นไปตามมาตรฐานสากลที่โปร่งใสและเป็นที่ยอมรับ

“ราคาในตลาดรองขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ราคาต่ำจองไม่ได้หมายความว่าตั้งราคาแพง ต้องดูหลายปัจจัยประกอบเช่น การกระจายหุ้นเป็นอย่างไร สัดส่วนสถาบันกับรายย่อยเป็นอย่างไร เพราะพฤติกรรมของนักลงทุนแต่ละกลุ่มไม่เหมือนกัน” นายสรวิศ กล่าว

ขณะที่กฎเกณฑ์การเข้าจดทะเบียนของไทยมีความเข้มงวดสูงมากอยู่แล้วเมื่อเทียบกับต่างประเทศ ทั้งเกณฑ์เชิงปริมาณที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนด ซึ่งได้มีการยกระดับขึ้นแล้ว และเกณฑ์เชิงคุณภาพด้านธรรมาภิบาลที่กำกับโดย ก.ล.ต. ทำให้การนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในไทยไม่ใช่เรื่องง่าย

สำหรับกรณีที่บริษัทไทยมีแผนจะนำบริษัทย่อย (Spin-off) ไปจดทะเบียนในต่างประเทศนั้น มองว่าเป็นสิทธิ์ของบริษัท แต่หน้าที่ของตลาดหลักทรัพย์ฯ คือการทำให้กระบวนการในประเทศมีความราบรื่น รวดเร็ว และคาดการณ์ได้ (Predictable) เพื่อเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 พ.ย. 68)