สภาพัฒน์ ชี้ไทยเลี่ยงขึ้น VAT ไม่ได้ แนะทยอยปรับขึ้น กำหนดเวลาชัดเจน มีมาตราการรองรับผลกระทบ

น.ส.อ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ได้นำบทเรียนการเพิ่ม VAT ในต่างประเทศ ซึ่งทางสศช. ตระหนักดีว่า ประเทศไทยดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุลมาอย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่า สุดท้ายการเพิ่ม VAT เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในอนาคต

ดังนั้นเพื่อเป็นการเตรียมการการเพิ่ม VAT ได้ประโยชน์สูงสุด และมีผลกระทบน้อยที่สุด ทางสศช.จึงได้ศึกษาประสบการณ์ต่างประเทศต่าง ๆ เพื่อถอดบทเรียนออกมา

อย่างไรก็ตาม การจัดเก็บ VAT ในอัตรา 7% ของไทยยังถือเป็นอัตราที่ต่ำเป็นอันดับที่ 6 ของโลก และต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งที่บทบาทของ VAT มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบรายได้จากภาษีประเภทอื่น ซึ่งลักษณะดังกล่าวเป็นไปในรูปแบบเดียวกับหลายประเทศที่มีการเพิ่มอัตรา VAT

นอกจากนี้ การปรับเพิ่มอัตรา VAT ยังเป็นเครื่องมือในการเพิ่มรายได้ให้แก่ภาครัฐ

โดยบทเรียนจากการขึ้น VAT ในต่างประเทศมีประเด็นน่าสนใจ ดังนี้

1.การกำหนดวัตถุประสงค์ของการปรับขึ้นอัตรา VAT อาทิ ประเทศสิงคโปร์และญี่ปุ่น มีการกำหนดวัตถุประสงค์ว่าจะนำรายได้จากการเพิ่ม VAT ไปใช้พัฒนาสวัสดิการสังคม เช่น การดูแลผู้สูงอายุ การสนับสนุนการศึกษาเด็กปฐมวัย รวมถึงการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน

2.การปรับอัตรา VAT สามารถดำเนินการได้หลายวิธี โดยประเทศญี่ปุ่นและสหราชอาณาจักร นำระบบอัตราภาษีสองระดับ (Dual Tax Rate) โดยอัตรามาตรฐานสำหรับสินค้าทั่วไป และอัตราภาษีลดหย่อนสำหรับสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ ขณะที่ประเทศสิงคโปร์ กำหนด VAT ในอัตราเดียว

3.การปรับขึ้นอัตรา VAT อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยประเทศสิงคโปร์และญี่ปุ่น มีการประกาศขึ้นอัตรา VAT แบบขั้นบันได ควบคู่กับการประเมินความพร้อมของเศรษฐกิจก่อนปรับ

4.การมีระยะเวลาเปลี่ยนผ่านในการปรับตัว อาทิ สหราชอาณาจักร ประกาศอัตรา VAT ใหม่ โดยแจ้งล่วงหน้าประมาณครึ่งปีเพื่อให้ปรับตัว

5.การออกมาตรการรองรับหลังการปรับขึ้นอัตรา VAT อาทิ ประเทศญี่ปุ่น ได้ออกมาตรการช่วยเหลือเพื่อกระตุ้นการบริโภคหลังปรับขึ้น VAT เช่น เพิ่มเงินอุดหนุนในการซื้อบ้าน รวมถึงมีการพัฒนาระบบการออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ภาคบังคับเพื่อรองรับการปรับขึ้น VAT ส่วนประเทศสิงคโปร์ มีมาตรการบรรเทาค่าครองชีพในรูปแบบของเงินช่วยเหลือที่จ่ายให้อัตโนมัติ ทำให้ประชาชนได้รับความช่วยเหลือทันที

6.การสร้างความเข้าใจและการสื่อสารข้อมูลให้แก่ประชาชนชนและภาคธุรกิจ โดยประเทศญี่ปุ่นและประเทศสิงคโปร์ เน้นการสื่อสารข้อมูลอย่างต่อเนื่องและมาตรการรองรับการปรับภาษีต่อประชาชนผ่านช่องทางที่หลากหลาย ควบคู่กับการเปิดเผยแผนการใช้จ่ายงบประมาณจาก VAT ที่ปรับขึ้น เพื่อแสดงความโปร่งใส

ทั้งนี้ การขึ้นอัตรา VAT จะช่วยให้ภาครัฐมีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูฐานะและปรับสมดุลทางการคลังของรัฐบาลให้ดีขึ้น ขณะเดียวกันประชาชนจะได้รับสวัสดิการที่เพิ่มขึ้นและครอบคลุมมากขึ้น โดยเฉพาะการขึ้นอัตรา VAT ที่ระบุวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนเพื่อการจัดสวัสดิการ อาทิ ประเทศญี่ปุ่น ที่สนับสนุนการศึกษาฟรีสำหรับเด็กปฐมวัยและกลุ่มเด็กเล็กอายุ 3 – 5 ปี นอกจากนี้ ยังทำให้ภาครัฐสามารถขยายฐานภาษีและลดการหลบเลี่ยงภาษีในระบบได้มากขึ้น โดยมีการพัฒนาระบบการออกใบกำกับภาษีควบคู่ไปด้วย

ขณะที่กรณีของประเทศไทย จากงานศึกษาของศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า หากมีการปรับขึ้นอัตรา VAT 1% จะสามารถเพิ่มรายได้ให้รัฐถึง 0.5% ของ GDP หรือประมาณ 93,000 ล้านบาท ซึ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นจะสามารถนำไปใช้จ่ายในโครงการที่สำคัญได้ อาทิ ค่าใช้จ่ายในโครงการยังชีพผู้สูงอายุ (งบประมาณ 91,000 ล้านบาท) โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (55,800 ล้านบาท) หรือโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด (17,600 ล้านบาท)

ทั้งนี้ น.ส.อ้อนฟ้า กล่าวว่า สิ่งที่ต้องดำเนินการอย่างจริงจัง คือ การเตรียมความพร้อมอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนว่า การขึ้น VAT จะเอาเงินไปทำอะไร และเพื่อให้ประชาชนได้เห็น และประชาชนจะได้มีความพร้อมในการปรับเปลี่ยน

ส่วนช่วงเวลาในการขึ้น VAT คงต้องเป็นช่วงเวลาที่การบริโภค อุปโภคในประเทศเริ่มฟื้นตัวแล้ว และแผนการขึ้นต้องมีการทยอยขึ้น และต้องมีมาตรการรองรับผู้ที่ได้รับผลกระทบ และต้องมีการสื่อสารให้ประชาชนทราบล่วงหน้า อย่างในต่างประเทศแจ้งล่วงหน้า 1 ปี เพื่อให้ประชาชนได้ปรับตัวด้วย

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 พ.ย. 68)