
นายปนายุ ศิริกระจ่างศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ทีบีเอ็น คอร์ปอเรชั่น [TBN] เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการขยายธุรกิจด้านเทคโนโลยีทางการเงินครบวงจร ผ่านแพลตฟอร์ม End-to-End Lending ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับการทำงานของสถาบันการเงินในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การตรวจสอบเครดิตบูโร การพิจารณาและอนุมัติสินเชื่อ การบริหารจัดการสินเชื่อไปจนถึงระบบติดตามหนี้ (Debt Collection) และการจัดการสินทรัพย์ (AMC) โดยใช้เทคโนโลยี AI เข้าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดต้นทุน และบริหารความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ
TBN เป็นผู้ให้บริการระบบหลังบ้านแก่สถาบันการเงินรายใหญ่หลายราย โดยรายได้กว่า 50% มาจากกลุ่มธนาคาร อาทิ ระบบ Call Center ระบบ Mobile Banking และระบบบริหารจัดการสินเชื่อ ซึ่งบริษัทพัฒนาในรูปแบบ Custom Solution เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการเฉพาะของแต่ละองค์กร พร้อมมาตรฐานความปลอดภัยด้านข้อมูลในทุกกระบวนการ
หนึ่งในโมดูลสำคัญของแพลตฟอร์ม End-to-End Lending คือ ระบบติดตามทวงหนี้ (Debt Collection System) ซึ่ง TBN เริ่มให้บริการเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ไตรมาส 2/68 และปัจจุบันมีลูกค้าแล้ว 2-3 ราย มูลค่างานรวมกว่า 30 ล้านบาท โดยรายได้ทยอยรับรู้ภายใน 3 ปี อีกทั้งยังมีงานใน Pipeline กว่า 200 ล้านบาท
นอกจากการพัฒนาแพลตฟอร์มปล่อยกู้ครบวงจรแล้ว TBN ยังเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “ReN3” แพลตฟอร์ม Generative AI ในระดับองค์กร โดย ReN3 ถูกออกแบบให้ รองรับการประมวลผลข้อมูลภายใน (On-Premise Server) สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ เช่น สถาบันการเงิน บริษัทประกัน และหน่วยงานภาครัฐ ที่ต้องการใช้งานระบบ Generative AI ภายในองค์กรของตนเอง เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากข้อมูลรั่วไหล
“ReN3 จะเป็นฐานเทคโนโลยีสำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถใช้ AI ได้อย่างปลอดภัย โดยไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลสู่ภายนอก และสามารถต่อยอดการใช้งานได้หลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งด้านการเงิน ประกัน ตลอดจนภาคการผลิต”นายปยุต กล่าว
ล่าสุด บริษัทประกาศผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกของปี 2568 โดยมีรายได้จากการให้บริการรวม 286.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเก้าเดือนของปีก่อน (YTD) คิดเป็นการเติบโตเพิ่มขึ้น 5% และมีกำไรสุทธิ 14.07 ล้านบาท
สำหรับงวดไตรมาส 3/2568 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (QoQ) มีกำไรสุทธิ 4.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 298% โดยมีรายได้จากการให้บริการรวม 95.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% แยกเป็นรายได้งานพัฒนาระบบดิจิทัลและงานให้คำปรึกษา 31.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% รายได้จากกลุ่มบำรุงรักษาระบบและสนับสนุนด้านเทคโนโลยีมีรายได้อยู่ที่ 52.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% และมีรายได้จากงานอื่น ๆ 11.50 ล้านบาท ลดลง 18%
รายได้รวมในไตรมาส 3 ยังทรงตัวใกล้เคียงกับปีก่อน โดยรายได้จากงานบำรุงรักษาระบบและงานสนับสนุนด้านเทคโนโลยียังคงเติบโตต่อเนื่อง จากสัญญาระยะยาวและการให้บริการตามข้อตกลง Service Level Agreement (SLA) อย่างไรก็ตาม รายได้จากงานพัฒนาระบบดิจิทัลและงานให้คำปรึกษาปรับตัวลดลงตามภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ภาคเอกชนชะลอการลงทุนด้านเทคโนโลยี ส่งผลให้จำนวนโครงการใหม่ลดลง และมีแนวโน้มที่ลูกค้าจะแบ่งโครงการขนาดใหญ่ออกเป็นเฟสย่อยเพื่อบริหารงบประมาณและกระจายความเสี่ยง ทำให้มูลค่าเฉลี่ยต่อโครงการลดลงตามไปด้วย
แนวโน้มดังกล่าวส่งผลให้รายได้รวมและกำไรขั้นต้นของกลุ่มบริษัทลดลง ขณะที่ต้นทุนหลักด้านบุคลากรยังอยู่ในระดับเดิม จึงส่งผลกระทบต่อกำไรสุทธิ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ดี บริษัทยังคงรักษาอัตราส่วนทางการเงินให้อยู่ในระดับแข็งแกร่ง โดยเฉพาะอัตราส่วนสภาพคล่องอยู่ที่ 3.97 เท่า สะท้อนถึงความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้นได้ในระดับสูง และอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 0.05 เท่า แสดงถึงโครงสร้างเงินทุนที่มั่นคงและความเสี่ยงทางการเงินต่ำ
ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาส 3/68 บริษัทมีงานในมือ (Backlog) รวม 304 ล้านบาท แบ่งเป็นงานพัฒนาระบบดิจิทัลและที่ปรึกษา 62 ล้านบาท งานบำรุงรักษาระบบและสนับสนุนเทคโนโลยี 225 ล้านบาท และงานอื่น ๆ อีก 16 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ตามแผนดำเนินโครงการ ภายในปีนี้ประมาณ 96 ล้านบาท และส่วนที่เหลือ 208 ล้านบาท รับรู้ในปีถัดไป
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 พ.ย. 68)





