มธ. แนะทำแผนรับมือน้ำท่วมระดับชุมชน เสนอตั้งหน่วยงานดูแลภัยพิบัติโดยเฉพาะ

นายสามชาย ศรีสันต์ ประธานบริหารหลักสูตรบัณฑิตศึกษา วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ “ป๋วย อึ๊งภากรณ์” มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวถึงเหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ จ.สงขลา ว่า ปัญหาหนึ่งที่พบมากในการจัดการภัยพิบัติของประเทศไทย คือ การทำงานแบบแยกส่วน ตัวอย่างเช่น การเปิดช่องทางการติดต่อสื่อสารขอความช่วยเหลือหรือให้ความช่วยเหลือ โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) จะติดต่อผ่านแอปพลิเคชัน หรือหน่วยงานอื่น ๆ อาทิ หน่วยงานทางทหารหลายแห่งเปิดรับข้อมูลผ่านทางเพจ Facebook รวมถึงระบบการรับบริจาคและการกระจายสินค้า-สิ่งของจำเป็นให้ผู้ประสบภัยที่ยังติดค้างอยู่ในที่พักอาศัย ก็พบว่ามีการทำงานแบบแยกส่วนกัน

ทั้งนี้ ปัจจุบันมีการตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์น้ำท่วม จ.สงขลา แล้วเป็นที่เรียบร้อย และมีการกำหนดโครงสร้างการทำงาน และมอบภารกิจให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแผนการทำงานแล้ว ฉะนั้นนอกจากภารกิจเร่งด่วนคือการอพยพแล้ว ศูนย์บัญชาการฯ ควรต้องจัดระบบช่องทางการสื่อสาร และหน่วยงานต่าง ๆ ที่ให้ดำเนินการควรรายงานข้อมูล และสถานการณ์ให้ความช่วยเหลือต่อศูนย์บัญชาการกลางด้วย เพื่อให้ข้อมูลทั้งหมดถูกนำมาวิเคราะห์ ประมวล และจัดลำดับความเร่งด่วน เพื่อสั่งการโดยส่วนกลางอย่างเป็นเอกภาพ ทั่วถึง ไม่ทับซ้อน

พร้อมกันนี้ ศูนย์บัญชาการฯ ควรที่จะเร่งจัดระบบการขนส่ง และกระจายสินค้าด้านโลจิสติกส์ (Logistics) และต้องมีการลงทะเบียนหน่วยงานที่เข้ามาให้ความช่วยเหลือ ทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม ฯลฯ เพื่อให้ทราบถึงความเพียงพอของสิ่งของ กำลังคน และความครอบคลุมพื้นที่รับผิดชอบ โดยสิ่งของที่จำเป็นสำหรับผู้ประสบภัยนอกจากข้าวสาร อาหาร น้ำดื่ม ยารักษาโรคแล้ว ยังครอบคลุมถึงเรือ ส้วมเคลื่อนที่ อุปกรณ์ให้แสงสว่าง ที่ชาร์จแบตโซล่าเซลล์ ถุงใส่สิ่งปฏิกูล ฯลฯ ด้วย

“ปัญหาใหญ่ในการเข้าไปให้ความช่วยเหลือในขณะนี้คือ พื้นที่ห่างไกลไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ และถูกตัดน้ำ ตัดไฟ ตรงนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่ส่วนกลางจะต้องทำงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ซึ่งรู้จักพื้นที่ที่ดีที่สุด เพื่อค้นหาผู้ประสบภัยในพื้นที่รับผิดชอบของตนเอง รวมถึงการเตรียมความพร้อม และประกาศพื้นที่ศูนย์พักพิงรองรับผู้ประสบภัย ซึ่งอาจใช้บทเรียนจากการตั้งศูนย์พักคอยในช่วงโควิดปี 2563 และศูนย์พักพิงผู้ประสบภัยน้ำท่วมช่วงปี 2554” นายสามชาย กล่าว

นอกจากนี้ สิ่งที่ศูนย์บัญชาการฯ ควรทำ คือ การรายงานสถานการณ์ให้ประชาชนทราบผ่านช่องทางต่าง ๆ เป็นประจำทุกวัน โดยสิ่งที่ควรรายงานคือสถานการณ์น้ำท่วม ณ ปัจจุบัน ความต้องการความช่วยเหลือ จำนวนเคสและพื้นที่ ซึ่งควรแสดงบนแผนที่ และอัปเดตสถานะการได้รับความช่วยเหลือ รวมไปถึงการนำเสนอแผนการทำงาน และการคาดการณ์สถานการณ์วันถัดไปด้วย

นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวว่า เหตุการณ์น้ำท่วม จ.สงขลา และการจัดการอพยพอย่างเร่งด่วนนั้น สะท้อนถึงความสำคัญของแผนรับมือน้ำท่วมระดับชุมชน และหมู่บ้าน ฉะนั้นหลังเหตุการณ์นี้ กระทรวงมหาดไทย (มท.) ควรต้องจัดให้มีการทำแผนรับมือระดับชุมชน และหมู่บ้านในทุกพื้นที่ที่เคยถูกน้ำท่วม และให้ อปท. จัดทำแผนรับมือในระดับตำบล และเทศบาล และบูรณาการเข้ากับแผนในระดับจังหวัด เตรียมจัดสรรงบประมาณสำหรับการรับมือกับน้ำท่วมให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ และรัฐบาลควรจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาดูแล จัดการภัยพิบัติน้ำท่วมโดยเฉพาะ

นอกจากนี้ ควรมีการจัดหาอุปกรณ์ช่วยเหลือฉุกเฉินไว้สำหรับทุก ๆ พื้นที่ที่มีความเสี่ยงจะถูกน้ำท่วม โดยเฉพาะพื้นที่พักพิง ซึ่งควรมีการเตรียมเอาไว้ให้พร้อมทุกเมื่อ เช่น ควรมีการเก็บข้อมูล และเตรียมพร้อมให้เพียงพอสำหรับครัวเรือนที่เคยถูกน้ำท่วมตั้งแต่ 1 เมตรขึ้นไป ทุกครัวเรือน และเมื่อเกิดเหตุ ควรมีการส่งผู้ป่วย คนชรา ผู้พิการ ไปยังที่ปลอดภัยซึ่งมีการเตรียมไว้ล่วงหน้าทั้งสถานที่ บุคลากรทางการแพทย์ และอุปกรณ์ช่วยชีวิตเบื้องต้น

“ปัญหาน้ำท่วม ไม่ใช่ปัญหาแค่เรื่องการจัดการน้ำ แต่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ การใช้ที่ดิน การใช้น้ำ การบริหารระบบชลประทาน ระบบโลจิสติกส์ การจัดระเบียบองค์กรภาคประชาชน การพัฒนาชุมชน การจัดการงานอาสาสมัคร ฯลฯ ฉะนั้นการบรรเทาภัยพิบัติ สาธารณภัย และการบริหารจัดการน้ำ จึงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการจัดการภัยพิบัติน้ำท่วมเท่านั้น การเตรียมแผนรับมือกับน้ำท่วม จึงไม่ใช่เพียงการแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า แต่คือการทำงานเชื่อมร้อยกันในทุก ๆ ด้านอย่างเป็นระบบ” นายสามชาย กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 พ.ย. 68)