
กลายเป็นประเด็นร้อน เมื่อนายไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) สั่งฟ้าผ่ายกเลิก MOU ที่นายประเสริฐ จันทรรวงทอง อดีต รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เคยลงนามร่วมกับ Prime Opportunity Fund VCC Singapore งานนี้ร้อนมาถึง Worldcoin ไม่รู้ว่าเรื่องราวจะจบที่ตรงไหน คงได้แต่รอ DSI!!
นายไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดีอีสั่งยกเลิกการลงนาม MOU ระหว่างกระทรวงดีอีฯ และ Prime Opportunity Fund VCC Singapore เมื่อวันที่ 27 มี.ค. 67 ซึ่งเป็นการลงนามของรัฐบาลชุดเก่า
และความเกี่ยวข้องคือ โครงการ Worldcoin สแกนม่านตาเพื่อแลกเหรียญคริปโทเคอร์เรนซีที่เป็นของบริษัท Tool for Humanity ได้เข้ามาดำเนินการในประเทศไทยผ่านแซนด์บอกซ์ที่กระทรวงดีอีทำ MOU ทำไว้กับกองทุน Prime Opportunity Fund VCC เพื่อส่งเสริมการลงทุนทางด้านเศรษฐกิจดิจิทัลและการเงิน และมีการตั้งศูนย์ธุรกิจและการเงินดิจิทัลนานาชาติประเทศไทย (TIDC) เป็นบริษัทโฮลดิ้ง จัดตั้ง TIDC Worldverse เพื่อเข้ามาขออนุญาตเก็บข้อมูลม่านตาในโครงการ Worldcoin กับสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) และ PDPC ซึ่งทั้ง 2 หน่วยงานไม่ได้อนุญาต แต่ก็ยังมีการดำเนินการเก็บข้อมูลให้เห็นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ บริษัท Prime Opportunity Fund VCC Singapore ก็ถูกตรวจสอบพบเส้นทางเชื่อมโยงขบวนการฟอกเงินดิจิทัลระดับโลกอีกด้วย
งานนี้ DSI ก็รับเป็นคดีพิเศษกรณีธุรกิจสแกนม่านตาแลกเหรียญคริปโทเคอร์เรนซี ภายใต้โครงการ Worldcoin ซึ่งจะดูในฐานความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 “ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวังโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
รายงานข่าวจาก DSI ระบุถึงความเป็นมาของคดีพิเศษว่าธุรกิจสแกนม่านตาแลกเหรียญคริปโตเคอเรนซีภายใต้โครงการ Worldcoin มีความเชื่อมโยงกับบริษัทที่รับสแกนม่านตาตามที่เคยปรากฏเป็นข่าวก่อนหน้านี้ ซึ่งพบว่าในปี 2567 มีคนไทยจำนวนกว่า 1.2 ล้านคนทั่วประเทศได้ทำการสแกนม่านตาผ่านเครื่อง Orb เพื่อยืนยันความเป็นมนุษย์ (Proof of Human) และได้รับเหรียญดิจิทัล Worldcoin (WLD)
เรื่องทั้งหมดเข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ เพราะมีการอ้างว่าเมื่อสแกนม่านตาแล้วจะมีการจ่ายเป็นเหรียญดิจิทัล อีกทั้งเรื่องนี้ก็มีทีมงานมาติดตั้งเครื่องสแกนม่านตาทำการเชิญชวนให้ประชาชนมาสแกนม่านตา และมีการรับซื้อเหรียญดิจิทัลที่ได้รับมา
นอกจากนี้ ยังพบว่าต้นทางของ Prime Opportunity Fund อย่างประเทศสิงคโปร์ก็ไม่ได้ดำเนินการในเรื่องนี้ต่อ จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่เราต้องลงลึกไปดูว่าข้อมูลสแกนม่านตาของคนไทยจำนวน 1.2 ล้านคน ถูกนำไปใช้ทำอะไรแล้วบ้าง จึงต้องขอระยะเวลาในการสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานก่อน แต่เบื้องต้น DSI ได้สอบปากคำพยานที่เป็นผู้ประกอบกิจการเกี่ยวกับเหรียญดิจิทัลชื่อดังรายหนึ่งของไทยไปแล้ว เนื่องจากพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหรียญดิจิทัล Worldcoin (WLD) แต่คงต้องรอข้อมูลรายละเอียดผลสอบปากคำพยานอย่างครบถ้วนก่อน จึงจะทำให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
รวมถึงต้องรวบรวมข้อมูลว่ามีใครบ้างที่ถูกสแกนม่านตาไปแล้ว และมีการเก็บบันทึกข้อมูลไว้อย่างไรบ้าง เพราะทางบริษัทที่รับติดตั้งเครื่องสแกนม่านตาก็ให้ข้อมูลว่าเก็บข้อมูลเพียงแค่การสแกนม่านตา ทั้งนี้ DSI ยังพบข้อมูลว่าบริษัทที่มาทำบันทึกข้อตกลง MOU กับบริษัทที่ทำเหรียญดิจิทัลมีความเชื่อมโยงกัน
ต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้วที่มีข่าวว่าทางตำรวจได้ยึดทรัพย์สินของ “นานา ไรบีน่า” แต่ความจริงได้ปรากฏแล้ว เพราะ Ledger Nano X อันนั้นไม่ใช่ของ “นานา” แต่ว่าเป็นของ เวย์ ไทเทเนียม ที่เป็นสามี
เพื่อความโปร่งใสเวย์ก็ได้นำ Ledger Nano X มาเปิดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงพบว่าในอุปกรณ์นั้นมีเหรียญดิจิทัล คือเหรียญ Dogecoin จำนวน 15,585.3 เหรียญ และ Shiba Inu (SHIB) จำนวน 99,354,176 เหรียญ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 100,000 บาทเท่านั้น
เบื้องต้นการเข้าพบครั้งนี้เป็นการชี้แจงเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักฐานเท่านั้น ในส่วนคดีของ “นานา” ก็ยังต้องติดตามต่อไป
ใกล้จะสิ้นปีแล้ว แน่นอนเริ่มมองตัวเลขส่งท้ายปีกันแล้ว วันนี้อยากมาชวนดูอีกหนึ่งตัวเลขสำคัญ นั่นก็คือยอดถือครองบิทคอยน์ของบริษัททั่วโลก
อย่างที่เรารู้กัน เจ้าใหญ่สุดหนีไม่พ้น Strategy แต่ถ้าดูย้อนหลังไปตั้งแต่ต้นปี 2023 ตามข้อมูลจาก Glassnode บริษัทวิเคราะห์ on chain จะพบว่าบริษัทมหาชนทั่วโลกถือครองบิทคอยน์เพิ่มขึ้นจาก 197,000 BTC เป็น 1.08 ล้าน BTC คิดเป็นเพิ่มขึ้นถึง 448% ตั้งแต่เดือนมกราคม 2023 เห็นชัดเลยว่าเทรนด์การสะสมบิทคอยน์ที่เพิ่มขึ้นสะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นขององค์กรขนาดใหญ่ต่อบิทคอยน์ในฐานะสินทรัพย์สำรองระยะยาว
บริษัทเหล่านั้นมีทั้งบริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยี, เหมืองขุดคริปโทฯ, ฟินเทค ไปจนถึงกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ต่างก็ทยอยซื้อ BTC เข้ามาเก็บในงบดุลอย่างต่อเนื่อง ทำให้แนวโน้มการถือครองระดับองค์กรเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะหลังสหรัฐฯ เริ่มเปิดประตูให้สถาบันเข้าถึง Bitcoin ETF ได้อย่างเต็มรูปแบบ
ทั้งนี้ บริษัทมหาชนกำลังกลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นสำคัญที่สุดของตลาด Bitcoin กระแสนี้สะท้อนชัดว่า BTC ไม่ได้เป็นเพียงสินทรัพย์เก็งกำไร แต่กำลังถูกยอมรับให้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การเงินองค์กรทั่วโลกอย่างเป็นทางการ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 ธ.ค. 68)




