CONSENSUS: AOT ติดปีก! รับค่า PSC ใหม่-สัญญาคิงเพาเวอร์ กำไรปี 70 ลุ้นทะลุ 3 หมื่นล้าน

โบรกเกอร์แห่ปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ”หุ้น บมจ.ท่าอากาศยานไทย [AOT] พร้อมปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย จากการประเมินกำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่งหลังสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ไฟเขียวขึ้นค่า PSC อีก 390 บาท/หัว โดยจะเริ่มรับรู้ค่า PSC ใหม่ในงบการเงินงวดไตรมาส 3 ปี 69 (เม.ย.-มิ.ย.69) ขณะเดียวกันการแก้ไขสัญญาดิวตี้ฟรีกับคิงเพาเวอร์มีความชัดเจนด้วยเงื่อนไขใหม่

ทั้งนี้ กำไรของ AOT ในงวดปี 69 (ต.ค.68-ก.ย.69) ประเมินว่าจะเติบโต 21-22% มาที่ 2.1-2.2 หมื่นล้านบาท และปี 70 กำไรเร่งตัวขึ้นด้วยการเติบโต 34-35% หลังจากที่รับรู้ค่า PSC ใหม่เต็มตลอดทั้งปี และมีโอกาสที่กำไรจะทำนิวไฮ

นอกจากนั้น ยังมีปัจจัยหนุนจากสถานการณ์ท่องเที่ยวไทยในปี 69 เชื่อว่าจะกลับมาฟื้นตัวได้ดีขึ้น ซึ่ง AOT คาดจำนวนผู้โดยสารและปริมาณเที่ยวบินจะเติบโต 7% ยิ่งเป็นแรงหนุนสำคัญทั้งรายได้ Aero และ Non-Aero

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา หุ้น AOT วิ่งแรงมาปิดที่ 53.00 บาท เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 4 ธ.ค. จากเราคาปิดวันศุกร์ที่ 28 พ.ย.ที่ 43.50 บาท ขึ้นมาถึง 9.50 บาท พุ่ง 21.83% และเช้านี้บวกต่อเนื่องไปแตะจุดสูงสุด 55.75 บาท ซึ่งเป็นจุดสูงสุดในรอบ 10 เดือน

ล่าสุด ราคาหุ้น AOT เคลื่อนไหวที่ 53.00 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลงจากเมื่อวันศุกร์

นายวัชรุฒน์ วัชรวงศ์สิทธิ์ นักวิเคราะหลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า AOT เข้าสู่การเติบโตอีกยุคหนึ่ง จากการปรับขึ้นค่าบริการผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ (Passenger Service Charge) เป็น 1,120 บาท/คน จาก 730 บาท/คน หรือเพิ่มขึ้น 390 บาท มากกว่าที่คาด 200-300 บาท หลังจากไม่ได้ปรับขึ้นมานานมาก โดยมีผลกับท่าอากาศยานภายใต้การบริหาร AOT ทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต เชียงใหม่ แม่ฟ้าหลวงเชียงราย และหาดใหญ่

การปรับขึ้นค่า PSC ครั้งนี้ทำให้ผลประกอบการของ AOT มีโอกาสเติบโตก้าวกระโดดทั้งในเชิงรายได้และอัตรากำไรจากการดำเนินงาน และย้งช่วยลดผลกระทบจากการปรับแก้ไขสัญญาดิวตี้ฟรีกับคิงเพาเวอร์ ซึ่งเป็นแนวทางที่ดีกว่าการยกเลิกสัญญา เพราะจำกัดผลกระทบของ AOT โดย Minimum Guarantee ไม่ได้น้อยกว่าผู้ที่เสนอราคาประมูลร้านดิวตี้ฟรีลำดับที่ 2

“เมื่อมองแล้ว AOT เป็นบวกจากเรื่อง PSC ทำให้แนวโน้มกำไรในระยะยาวของ AOT แข็งแกร่งขึ้น”

ในปี 69 คาดว่ากำไร (ไม่รวมรายการพิเศษ) ของ AOT จะเติบโต 22% y-y มาที่ 22,412 ล้านบาท ซึ่งในปี 69 จะได้รับรู้ค่า PSC ใหม่ใน 6 เดือนหลัง หรือครึ่งปีหลัง (เม.ย.-ก.ย.69) ของงวดปี 69 และในปี 70 กำไรจะเร่งขึ้นมาเติบโต 34% มาที่ 30,119 ล้านบาท จากการรับรู้ค่า PSC ใหม่เต็มปี

ในเรื่อง PSC เป็นโอกาสของ AOT ที่มีกำไรเติบโตมาก และสามารถนำเงินไปลงทุนขยายสนามบินต่างๆสอดคล้องกับแผนพัฒนาธุรกิจของ AOT

นายวัชรุฒน์ มองว่า กรณีดีมานด์การเดินทางท่องเที่ยวไทยก็ยังมีอีกมาก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวระยะกลางอย่าง ตะวันออกกลาง และระยะไกล อย่างยุโรป ก็ยังมีดีมานด์แข็งแกร่ง และมองว่าไม่น่าจะชะลอการเดินทางจากการขึ้นค่า PSC

นอกจากนี้ กรณีจีนและญี่ปุ่นตึงเครียดกันอยู่ ไทยก็น่าจะรับอานิสงส์ที่นักท่องเที่ยวจีนจะเปลี่ยนเส้นทางกลับมาเที่ยวไทยมากขึ้นตั้งแต่ต้นปี 69 เป็นต้นไป จึงคาดว่ารายได้ของ AOT น่าจะเติบโตได้ตามเป้าหมาย ซึ่ง AOT คาดว่าปริมาณเที่ยวบินและผู้โดยสารจะเติบโต 7% ในปี 69 จากสิ้นปี 68 คาดว่าไทยจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 33 ล้านคน ส่วนปี 69 คาดจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 35 ล้านคน ขณะที่คนไทยก็น่าจะเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น เหล่านี้ก็เป็นปัจจัยหนุนค่า PSC เป็นบวก

สำหรับการแก้ไขสัญญาสัมปทานดิวตี้ฟรีกับบคิงเพาเวอร์ที่ได้ Minimum Guarantee เทียบเท่ากับรายที่ 2 รวมกับส่วนแบ่งรายได้ที่ 20% ก็น่าจะทำให้คิงเพาเวอร์อยู่ได้ โดยค่าตอบแทนที่ AOT จะได้รับเหลืออยู่ประมาณ 8 พันล้านบาท จากเดิมประมาณ 1 หมื่นล้านบาท (ทั้ง 5 สนามบิน) เมื่อรวมกับเรื่องการปรับขึ้นค่า PSC แล้ว AOT ก็ยังเป็นบวก

“ตัวกำไรในปี 2027 (ปี 70) คาดการณ์ที่ 3 หมื่นล้านบาท ก็ทะลุกำไรช่วงก่อนโควิดในปี 2019 (ปี 62) ที่มีกำไร(ก่อนรายการพิเศษ) 2.4 หมื่นล้านบาท และในปี 2018 (ปี 61) มีกำไร (ก่อนรายการพิเศษ) 2.5 หมื่นล้านบาท ถือว่าเป็นนิวไฮ แนวโน้มการเติบโตระยะยาวน่าสนใจ”นายวัชรุฒน์ กล่าว

นอกจากนี้ เรื่องการขยายธุรกิจ ได้แก่ แผนแม่บทท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ที่จะทำให้ความชัดเจนการขยายธุรกิจมีมากขึ้น และรองรับการเติบโตในระยะยาว ดังนั้น จึงได้ปรับประมาณการขึ้นรวมการปรับขึ้นค่า PSC การแก้ไขสัญญาดิวตี้ฟรีกับคิงเพาเวอร์ รวมถึงแนวโน้มตัวเลขผู้โดยสารและปริมาณเที่ยวบินให้สอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัท โดยปรับขึ้นราคาเป้าหมายจาก 29.75 บาท (ยังไม่ได้รวมค่า PSC และดิวตี้ฟรี) เป็น 53.75 บาท บน P/E 36 เท่า ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยการซื้อขายย้อนหลัง 10 ปี ซึ่งช่วงก่อนโควิดหุ้น AOT ขึ้นไปเทรดบน P/E 40-50 เท่า

“ราคาเป้าหมายใหม่เหมาะสมอยู่เมื่อเทียบกับปัจจัยการเติบโต แม้ว่าราคาหุ้น AOT จะปรับขึ้นไปเกือบ 20% ใน 1 เดือนที่ผ่านมา แต่หากมีการเทขายก็มองเป็นโอกาสเข้าซื้อเพราะเห็นว่าท่องเที่ยวปีหน้าน่าจะฟื้นตัวดีขึ้น และ AOT จะรับประโยชน์ก่อน”นายวัชรุฒน์ กล่าว

 

บล.บัวหลวง มองว่ากำไรระยะกลางของ AOT แข็งแกร่งขึ้น โดยเราปรับเพิ่มกำไร 12% ในปี 69 และ 14% ในปี 70 หนุนจาก 1) การเจรจาเงื่อนไขใหม่กับ King Power Duty Free (KPD) ที่เป็นบวกต่อ AOT และ 2) การปรับขึ้น PSC สูงกว่าคาด

เฉพาะการปรับเงื่อนไขใหม่กับ KPD สร้างอัพไซด์ต่อกำไรราว 5% เมื่อเทียบกรณี base case ของเรา ขณะที่ PSC สามารถเพิ่มอัพไซด์ได้อีก 10% ในปี 70 รวมอัพไซด์ราว 21% ในระยะกลางถึงยาว ปัจจุบันเราจึงคาดกำไรเติบโต 21% สำหรับปี 69 และเติบโต 34% ในปี 70 พร้อมปรับราคาเป้าหมายขึ้นจาก 47 บาทเป็น 56 บาท หนุนจากความชัดเจนของรายได้ทั้งฝั่งaero และ non-aero

ประมาณการกรณี base case ของเราคือการปรับขึ้น PSC ระหว่างประเทศ/ในประเทศ ที่ 200/100 บาท แต่การเสนอปรับขึ้นใหม่ที่ 390 บาทสำหรับผู้โดยสารระหว่างประเทศ ไม่เพียงสูงกว่าที่เราคาด แต่ยังสูงกว่าระดับ 300 บาทที่การพูดถึงในตลาด PSC ที่สูงขึ้นช่วยให้ AOT สร้างรายได้ทันทีจากการเติบโตของผู้โดยสาร โดยไม่ต้องรอให้โครงสร้างพื้นฐานขยายครบถ้วนก่อน หากสมมติว่า AOT จะเพิ่มงบลงทุนจาก 8 พันล้านบาทในปี 69 เป็น1.8 หมื่นล้านบาทในปี 70 และแตะจุดสูงสุดที่ 2.5 หมื่นล้านบาทในปี 71 การปรับขึ้น PSC จะช่วยเป็นเกราะรองรับความเสี่ยง รักษาความสามารถทำกำไร แม้อยู่ในช่วงใช้งบลงทุนหนัก มองว่าปัจจัยนี้เป็นบวกเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะเมื่อ AOT จะทบทวนแผนการลงทุนปรับให้เหมาะสมกับสถานการณ์การเดินทางทั่วโลกและการท่องเที่ยวในปัจจุบัน

สำหรับโครงสร้างสัญญาดิวตี้ฟรีใหม่ให้ผลเชิงบวก โดยที่สนามบินสุวรรณภูมิคิดเป็น 70% ของรายได้สัมปทาน ค่า Minimum Guarantee (MG) จะถูกปรับลดจาก 371 บาท/ผู้โดยสาร เหลือ 232.9 บาท/ผู้โดยสาร แต่ปรับเพิ่มปีละ 5% และมีสัดส่วนแบ่งรายได้ใหม่ที่ 20% และสามารถเพิ่มเป็น 35% ของรายได้ KPD ตามลำดับ

โดยเราคาดว่าผู้โดยสารขาออกของสนามบินสุวรรณภูมิอยู่ที่ 25 ล้านรายในปี 68 และ 26.2 ล้านรายในปี 70 (+5%YoY) เราคาดว่ารายได้ KPD ในปี 69 จะอยู่ที่ 6 พันล้านบาท (เทียบกับ 8.8 พันล้านในปี 68) และยังสูงกว่าประมาณการเดิมของเราที่ 5.1 พันล้านบาท นอกจากนี้ อายุสัมปทานยังถูกขยายออกไปอีก 2 ปีจนถึงปี 78 ให้สอดคล้องกับแผนขยายอาคารผู้โดยสาร

อุปสงค์นักท่องเที่ยวจีนเป็นอัพไซด์ต่อการฟื้นตัวของผู้โดยสารจากข้อมูลข่าวล่าสุด นักท่องเที่ยวจีนยกเลิกทริปไปญี่ปุ่นกว่า 30% ขณะที่ AOT คาดว่าการจองเที่ยวบินช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค.69 จะเพิ่มขึ้นกว่า 15%YoY สะท้อนว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายทดแทนของนักท่องเที่ยวชาวจีน

ตามการวิเคราะห์ของเราหากจำนวนนักท่องเที่ยวจีน (คิดเป็น 16% ของผู้โดยสารทั้งหมดในปี 68) เพิ่มขึ้นทุกๆ 5%YoY (ราว 225,000 ราย) เราประเมินว่าจะเพิ่มรายได้รวมจากค่าบริการเครื่องบินผู้โดยสาร และสัมปทานของ AOT ได้ราว 600 ล้านบาท คิดเป็นกำไรราว 500 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้นของกำไรประมาณ 2.2%

 

บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า AOT ได้รับอานิสงส์จากโครงสร้าง Minimum Guarantee (MG) ใหม่ และการปรับเพิ่ม PSC โดยการปรับขึ้น PSC สูงกว่าที่เราคาด

คณะกรรมการของ AOT อนุมัติการแก้ไขสัญญาดิวตี้ฟรีที่สนามบินสุวรรณภูมิ โดยใช้ค่า MG ที่ 233 บาทต่อผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ และจะปรับเพิ่ม 5% ต่อปีอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 78 ซึ่งเป็นบวกต่อราคาเหมาะสมแบบ DCF ของเรา ขณะเดียวกันCAAT ประกาศปรับเพิ่ม PSC สำหรับผู้โดยสารระหว่างประเทศขาออกเป็น 1,120 บาท สูงกว่าสมมติฐานของเราที่ 1,030 บาท

ดังนั้น เราจึงปรับราคาเป้าหมายจาก 49 บาทขึ้นเป็น 56 บาท และยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” เนื่องจากมองว่ายังมีอัพไซด์เพิ่มเติมจากการเก็บ PSC ผู้โดยสารประเภท Transit-Transfer และรายได้สัมปทานสูงขึ้นจากผู้ให้บริการภาคพื้นและ Cargo ด้านความเสี่ยงคือ KPD อาจไม่สามารถชำระหนี้ 14,000 ล้านบาทได้ และการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวเส้นทางใกล้ (Short-haul) ช้ากว่าคาด

โครงสร้างใหม่ของรายได้ดิวตี้ฟรีสร้างเซอร์ไพรส์ต่อตลาด เนื่องจากกำหนดให้อัตรา MG ปรับขึ้น 5% ต่อปีตลอดระยะเวลาสัญญา แตกต่างจากสัญญาเดิมที่ค่า MG ต่อหัวคงที่ตลอดอายุสัญญา ส่งผลให้รายได้สัมปทานเติบโตเร็วกว่าการเติบโตของจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศที่สนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินภูมิภาคอื่นๆ

การเพิ่ม PSC สูงกว่าที่ตลาดและเราคาด CAAT อนุมัติการปรับขึ้น PSC 390 บาทเมื่อวันที่ 3 ธ.ค.68 อัตราใหม่ 1,120 บาทสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงของการดำเนินงานสนามบิน (รวมมาร์จิน) และเงินลงทุนขยายสนามบินในช่วง 5 ปีข้างหน้า ขณะเดียวกันไม่มีการปรับขึ้น PSC สำหรับผู้โดยสารภายในประเทศ เนื่องจากอาจผลักดันต้นทุนการเดินทางและกดดันอุตสาหกรรมการบิน

เราคาดว่า AOT จะได้ประโยชน์เพิ่มขึ้นราว 1.9 พันล้านบาทจากรายได้ PSC ของผู้โดยสารประเภท Transit-Transfer และรายได้สัมปทานสูงขึ้นจากผู้ให้บริการภาคพื้น และ Cargo รายได้ส่วนนี้จะถูกสะท้อนในการประมาณการของเราและ Consensus ตั้งแต่ปี 2571 เป็นต้นไปหลังประกาศอย่างเป็นทางการ โดยประมาณการกำไรหลักปี 69 ที่ 21,078 ล้านบาท และ 28,404 ล้านบาทในปี 70 เติบโต 21% และ 35% ตามลำดับ

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 ธ.ค. 68)