
ในงาน Thailand Blockchain Week 2025 CK Cheong, CEO, Fastwork และ นายทิวา ชินธาดาพงศ์ นายกสมาคมนักลงทุนประเทศไทย และ นักลงทุนหุ้นคุณค่า (Value Investor) ได้แลกเปลี่ยนมุมมองด้านการลงทุนครอบคลุมตั้งแต่สินทรัพย์ดั้งเดิม หุ้นเทคโนโลยี ไปจนถึงคริปโตเคอร์เรนซี ในหัวข้อ “จำเป็นไหมที่ต้องมี Bitcoin??” โดยมีใจความสำคัญตามมุมมองของแต่ละคนดังนี้
CK ระบุว่า S&P500 เป็นสินทรัพย์ที่ป้องกันเงินเฟ้อได้ดีที่สุด โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ไม่มีความรู้ด้านการลงทุนมากนัก เนื่องจากให้ผลตอบแทนเฉลี่ยระดับ 10% ต่อปีในอดีต ส่วน Bitcoin สามารถลงทุนได้แต่ควรมีพื้นฐานความรู้พอสมควร
เขามองว่าคนจำนวนมากยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับการลงทุน โดยชี้ว่าการลงทุนเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้รวยได้ หากไม่มีรายได้เริ่มต้นที่มากพอ พร้อมแนะนำให้ “เน้นการหาเงินก่อน” แล้วค่อยทยอยเพิ่มการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ
เส้นทางสร้างความมั่งคั่งของ CK ระบุว่าพอร์ตของเติบโตจากทั้งหุ้นและคริปโทฯ โดยลงทุนใน Amazon, Facebook และ Nvidia มานานหลายปี ขณะเดียวกันก็สะสม BTC ตั้งแต่ราคา 600–700 ดอลลาร์ รวมถึง ETH และ SOL ตั้งแต่ระดับต้นทุนต่ำมาก ปัจจุบันคริปโทฯ เป็นสินทรัพย์สัดส่วนใหญ่ที่สุดในพอร์ต โดยถือ BTC ประมาณ 1,000 BTC
ด้านทิศทางสินทรัพย์ เขามองว่า หุ้นเทคโนโลยีและหุ้น AI ยังคงเหนือกว่าคริปโทฯ ในระยะยาว เนื่องจากความสามารถในอนาคตและเงินทุน VC ไหลเข้าสู่ภาค AI จำนวนมาก ขณะที่นวัตกรรมคริปโทฯ เริ่มชะลอเมื่อเทียบกับยุค DeFi ปี 2020-2021 พร้อมระบุว่าหุ้น AI ยังไม่มีสัญญาณฟองสบู่ เนื่องจากขับเคลื่อนโดยบริษัทใหญ่ที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง และการเติบโตของ AI ยังอยู่เพียงช่วงต้น
ในส่วนของ Bitcoin มองว่า BTC จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นตามเงินเฟ้อ ขณะที่การถือเงินสดจะทำให้มูลค่าลดลงต่อเนื่อง และมองว่าตราสารหนี้สหรัฐฯ ยังคงปลอดภัยกว่าการถือเงินสดในธนาคาร
นายทิวา มองว่าในช่วง 10–20 ปีข้างหน้า เงินเฟ้ออาจไม่น่ากังวลเท่าผลกระทบของ AI ต่อการจ้างงาน ซึ่งอาจสร้างอัตราว่างงานสูง แต่ยืนยันว่าเงินเฟ้อยังส่งผลบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงเกือบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นหุ้นหรือคริปโทฯ
ในด้านกลยุทธ์ลงทุน “หากนักลงทุนสามารถหาหุ้นขนาดเล็กที่เป็น Underdog และมีศักยภาพเติบโตสูง ก็มีโอกาสสร้างผลตอบแทนระดับ 10–100 เด้งได้” แม้จะยอมรับว่าการทำเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย พร้อมมองว่านักลงทุนคือ “นักเลือก” ที่ไม่จำเป็นต้องเก่งในทุกมิติ แต่ต้องเก่งในการเลือกสินทรัพย์ที่ตนถนัด
สำหรับพอร์ตลงทุนของเขาสร้างความมั่งคั่งจากหุ้นไทยเป็นหลัก พอร์ตปัจจุบันประกอบด้วย หุ้นไทย 70% หุ้นจีน 30% และมีคริปโทฯ เพียงเล็กน้อย โดยเชื่อว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือการถือสินทรัพย์ที่ “ทำให้นอนหลับได้” และเป็นสิ่งที่เราเชื่อจริง!
ในมุมมองต่อสินทรัพย์เทคโนโลยี ทั้ง 2 คนเห็นสอดคล้องกันว่าโครงสร้างพื้นฐานในปัจจุบันพร้อมสำหรับการเติบโตของ AI จึงให้น้ำหนักกับหุ้นเทคฯ มากกว่า แต่ยังเริ่มกระจายการลงทุนเข้าสู่คริปโทฯ ด้วย โดยเชื่อว่านักลงทุนไม่จำเป็นต้องเลือกเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ตราบใดที่มี “Edge” หรือความได้เปรียบในสินทรัพย์ที่ลงทุน
ส่วน Bitcoin มองว่าแม้ยังหาหุ้นลงทุนได้อยู่ แต่ก็ถือ BTC บางส่วนเพื่อติดตามแนวโน้มการเงินยุคใหม่ พร้อมมองว่าผู้ลงทุนสามารถเลือกสินทรัพย์ได้ตามความถนัดของตนเอง
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 ธ.ค. 68)




