
นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในคดีโครงการรับจำนำข้าวจำนวน 10,028 ล้านบาทว่า เมื่อศาลพิจารณาออกมาเป็นแบบนี้แล้ว ในระบบของไทยก็ไม่มีทางเป็นอย่างอื่น
ส่วนการยื่นหลักฐานเพื่อให้มีการพิจารณาคดีใหม่นั้น นายชูศักดิ์ กล่าวว่า การยื่นต้องขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล จึงเป็นเรื่องที่ทีมทนายต้องไปพิจารณาดูว่าเป็นอย่างไรกันแน่ เพียงแต่ว่าเรื่องที่ทนายเตรียมหลักฐานใหม่ก็เป็นเรื่องที่น่าคิด เพราะข้าวที่เป็นกรณีพิพาทหลังจากยึดอำนาจก็มีการอายัดข้าวตรงนี้ไว้ เมื่อมาถึงสมัยนี้ก็ทราบว่าข้าวเป็นของรัฐ ซึ่งนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ในขณะนั้นได้นำไปจำหน่ายได้เงินก้อนหนึ่ง แต่เท่าไหร่ไม่ทราบ จึงถือเป็นทรัพย์สินที่รัฐได้มาจากโครงการนี้ ดังนั้นการใช้เหตุผลว่าควรจะมาหักลบกลบหนี้กันก็เป็นเหตุเป็นผล
สำหรับพรรคเพื่อไทยในฐานะที่เป็นเจ้าของนโยบายนี้ การที่ศาลมีคำพิพากษาออกมาแล้วจะสร้างความกังวลให้กับการจัดทำนโยบายของรัฐบาลหรือไม่ นายชูศักดิ์ ยอมรับว่าผลคำพิพากษาของศาลปกครองอาจจะส่งผลให้การทำนโยบายต้องคิดหนัก เพราะที่ผ่านมามีนโยบายออกมามาก แต่ไม่มีการฟ้องร้องดำเนินการ จึงมีนักวิชาการออกมาบอกว่าต่อไปนี้คงทำอะไรไม่ได้แล้ว ทุกอย่างต้องหยุดหมด
ขณะที่ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า นโยบายที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ดำเนินการไปมาจากความหวังดี มีเจตนาดีต่อประเทศชาติ แต่ต้องมารับผลการวินิจฉัยเช่นนี้ ซึ่งโครงการนี้ชาวนาได้รับประโยชน์ และก่อนหน้านี้ศาลพิจารณาว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ตาม พรรคเพื่อไทยยังไม่มีการหารือถึงผลกระทบจากคำพิพากษาดังกล่าว ซึ่งคิดว่าควรจะต้องมีการหารือกัน ส่วนคำวินิจฉัยจะส่งผลต่อการเดินทางกลับประเทศไทยของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ หรือไม่ ตนไม่ทราบและไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องนี้
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 พ.ค. 68)
Tags: จำนำข้าว, ชูศักดิ์ ศิรินิล, นโยบายหาเสียง, ประเสริฐ จันทรรวงทอง, พรรคเพื่อไทย, ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร