
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของอังกฤษเตรียมลงมติในวันนี้ (20 มิ.ย.) ว่าจะเดินหน้าพิจารณาร่างกฎหมายที่เสนอให้ผู้ป่วยระยะสุดท้ายสามารถยุติชีวิตด้วยความช่วยเหลือทางการแพทย์ (assisted dying) ได้หรือไม่ ซึ่งอาจถือเป็นการปฏิรูปสังคมครั้งสำคัญที่สุดในรอบหลายทศวรรษ
ร่างกฎหมายฉบับนี้ได้ผ่านการรับหลักการมาแล้วในเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา ด้วยคะแนนเสียง 330 ต่อ 275 โดยสอดคล้องกับแนวทางของหลายประเทศทั่วโลก เช่น ออสเตรเลีย แคนาดา และบางรัฐในสหรัฐฯ ที่มีกฎหมายในลักษณะเดียวกัน
รายงานระบุว่า สส.จะอภิปรายร่างกฎหมายรอบสุดท้ายในช่วงเช้า ก่อนเข้าสู่การลงมติในช่วงบ่าย หากผ่านความเห็นชอบ ร่างกฎหมายจะถูกส่งต่อไปยังสภาขุนนางเพื่อพิจารณาต่อไป แต่หากเสียงข้างมากไม่เห็นชอบ ร่างกฎหมายจะสิ้นสุดลงทันที
ภายใต้ร่างกฎหมายฉบับนี้ ผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่มีอายุขัยคาดการณ์ไม่เกิน 6 เดือน และมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ สามารถขอรับความช่วยเหลือทางการแพทย์เพื่อยุติชีวิตได้ ภายใต้การพิจารณาของคณะกรรมการที่ประกอบด้วยนักสังคมสงเคราะห์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย และจิตแพทย์ จากแผนเดิมที่กำหนดให้ต้องได้รับอนุมัติจากศาล
คิม ลีดบีตเตอร์ สส.จากพรรคแรงงาน ผู้เสนอร่างกฎหมายฉบับนี้ กล่าวว่า แม้อาจมีจำนวนผู้สนับสนุนร่างกฎหมายดังกล่าวลดลงในการลงมติครั้งนี้ แต่ยังเชื่อมั่นว่าจะผ่านความเห็นชอบได้ พร้อมย้ำว่านี่ไม่ใช่การเลือกระหว่างการดูแลแบบประคับประคองกับการการุณยฆาต แต่เป็นเรื่องของการเปิดโอกาสให้ผู้คนมีสิทธิเลือกทางเลือกสุดท้ายในชีวิต
นอกจากนี้ สส.ลีดบีตเตอร์เผยว่า สิ่งที่เธอกังวลที่สุดคือ หากร่างกฎหมายถูกปัดตก อาจต้องรออีกกว่าสิบปีถึงจะมีโอกาสนำประเด็นนี้กลับเข้าสภาอีกครั้ง โดยครั้งล่าสุดที่มีการหยิบยกขึ้นมาพิจารณาคือเมื่อปี 2558 และมีมติไม่เห็นชอบ
ขณะเดียวกัน สส.บางรายที่สนับสนุนร่างกฎหมายกล่าวว่า คะแนนเสียงสนับสนุนและคัดค้านยังคงสูสี และยังมีสมาชิกบางส่วนที่ยังไม่แสดงจุดยืน ขณะที่เมื่อต้นเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา สส.หลายสิบคนได้ร่วมลงนามในจดหมายถึงผู้นำสภาผู้แทนราษฎร เพื่อแสดงความกังวลว่ารัฐสภาอาจยังมีเวลาไม่เพียงพอในการพิจารณารายละเอียดของร่างกฎหมายที่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญนี้
ขณะเดียวกัน มีเสียงวิจารณ์จากสส.บางรายว่า มาตรการป้องกันการบังคับหรือชักจูงผู้ที่อยู่ในภาวะเปราะบางให้เลือกยุติชีวิต อาจไม่เข้มงวดเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับร่างเดิม
นอกจากนี้ ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อระบบบริการสุขภาพแห่งชาติ (NHS) รวมถึงความจำเป็นในการพัฒนาการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองควบคู่กันไป
ด้านรัฐบาลแรงงานของนายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ ยังคงวางตัวเป็นกลางในประเด็นนี้ โดยสส.สามารถลงมติตามมโนธรรมของตนเองโดยไม่ต้องยึดแนวทางของพรรค
ทั้งนี้ ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในอังกฤษพบว่า ส่วนใหญ่สนับสนุนแนวคิดนี้ โดยฝ่ายสนับสนุนเชื่อว่ากฎหมายควรปรับให้สอดคล้องกับเสียงของประชาชน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 มิ.ย. 68)