FATF เรียกร้องทั่วโลกยกระดับการปราบปรามธุรกรรมคริปโทฯ ผิดกฎหมาย

คณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงินเกี่ยวกับการฟอกเงิน (FATF) เรียกร้องให้นานาประเทศใช้มาตรการที่รุนแรงขึ้นในการปราบปรามการทำธุรกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลที่ผิดกฎหมาย พร้อมเตือนว่าช่องโหว่ในกฎระเบียบอาจส่งผลกระทบในระดับโลก ขณะที่หลายประเทศยังคงประสบกับความยากลำบากในการระบุตัวตนผู้ทำธุรกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล

เชนนาลิซิส (Chainalysis) ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยบล็อกเชน ประมาณการว่า วอลเล็ตคริปโทฯ ผิดกฎหมายอาจได้รับเงินมากถึง 5.1 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2567

FATF เปิดเผยว่า แม้การกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลจะมีความคืบหน้านับตั้งแต่ปี 2567 แต่มีเขตอำนาจศาลเพียง 40 จาก 138 แห่งเท่านั้นที่ปฏิบัติตามมาตรฐานด้านคริปโทฯ ของ FATF ณ เดือนเม.ย. 2568 ขยับขึ้นจาก 32 แห่งเมื่อปีที่แล้ว

รายงานดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นในหมู่หน่วยงานด้านการเงิน เกี่ยวกับความเสี่ยงของคริปโทฯ ในระบบการเงิน โดยในเดือนเม.ย. หน่วยงานกำกับดูแลของสหภาพยุโรป (EU) ได้เตือนว่า การขยายตัวของภาคคริปโทฯ อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการเงินเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคริปโทฯ มีความเชื่อมโยงกับตลาดดั้งเดิมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ FATF ยังระบุว่า เกาหลีเหนือเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการโจรกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลมูลค่าราว 1.5 พันล้านดอลลาร์จากแพลตฟอร์มบายบิต (Bybit) เมื่อเดือนก.พ. ซึ่งถือเป็นการโจรกรรมครั้งใหญ่ที่สุด แม้ว่าเกาหลีเหนือได้ปฏิเสธความเกี่ยวข้องมาโดยตลอดก็ตาม

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 มิ.ย. 68)