
รัฐบาลญี่ปุ่นแถลงว่า ได้ประหารชีวิตทาคาฮิโระ ชิราอิชิ วัย 34 ปี เจ้าของฉายา “ฆาตกรทวิตเตอร์” (Twitter Killer) ด้วยการแขวนคอแล้วในวันนี้ (27 มิ.ย.) จากความผิดในคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง 9 ศพเมื่อปี 2560 โดยเขาได้ฆ่า ชำแหละ และเก็บซ่อนร่างเหยื่อไว้ในอะพาร์ตเมนต์ของตนเองที่เมืองซามะ จังหวัดคานางาวะ สำหรับการประหารชีวิตครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของประเทศนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2565
เคสุเกะ ซูซูกิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แถลงยืนยันว่า “ผมได้มีคำสั่งให้ดำเนินการประหารชีวิต หลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบและไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว”
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า การประหารชีวิตครั้งนี้ยังถือเป็นครั้งแรกในสมัยของนายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ซึ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนต.ค.ปีที่แล้ว
สำหรับคดีของชิราอิชิ คำตัดสินโทษประหารชีวิตถือเป็นที่สิ้นสุดในปี 2564 หลังจากที่เขาถอนอุทธรณ์ โดยนอกเหนือจากข้อหาฆาตกรรมแล้ว เขายังถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานล่วงละเมิดทางเพศเหยื่อที่เป็นสตรีทั้ง 8 ราย และลักขโมยเงินสด โดยใช้บัญชีทวิตเตอร์ที่แปลได้ว่า “เพชฌฆาต” ล่อลวงเหยื่อที่เคยแสดงความคิดอยากฆ่าตัวตายให้มาหาที่อะพาร์ตเมนต์
การประหารชีวิตครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการตั้งคำถามต่อระบบโทษประหารชีวิตของญี่ปุ่น หลังจากกรณีอิวาโอะ ฮากามาตะ วัย 89 ปี ซึ่งใช้ชีวิตในแดนประหารนานกว่า 4 ทศวรรษ เพิ่งได้รับการพิพากษายกฟ้องในคดีฆาตกรรม 4 ศพเมื่อปี 2509 โดยการพิจารณาคดีใหม่ของเขาได้สิ้นสุดลงเมื่อเดือนตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา
การที่ญี่ปุ่นเว้นว่างจากการประหารชีวิตไปเกือบ 3 ปีนั้น คาดว่าเป็นผลมาจากการที่อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ยาสุฮิโระ ฮานาชิ ถูกปลดจากตำแหน่งในปี 2565 เนื่องจากแสดงความเห็นที่ไม่เหมาะสมเกี่ยวกับโทษประหารชีวิต โดยนักโทษรายสุดท้ายที่ถูกประหารชีวิตก่อนหน้าชิราอิชิ คือ โทโมฮิโระ คาโตะ ผู้ก่อเหตุอาละวาดที่ย่านอากิฮาบาระเมื่อปี 2551 ซึ่งถูกประหารชีวิตไปเมื่อเดือนก.ค. 2565
แม้จะมีแรงกดดันจากนานาชาติและผู้เชี่ยวชาญในประเทศให้ทบทวนโทษประหารชีวิต แต่ผลสำรวจของรัฐบาลญี่ปุ่นในปี 2567 พบว่า ประชาชนกว่า 80% ยังคงสนับสนุนโทษประหาร โดยมองว่า “เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้”
ทั้งนี้ ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ เป็นเพียงสองชาติในกลุ่ม G7 ที่ยังคงมีและใช้โทษประหารชีวิตอยู่ ขณะที่องค์การนิรโทษกรรมสากล (Amnesty International) รายงานว่า ในปี 2567 ทั่วโลกมีประเทศที่ยังมีการประหารชีวิตอยู่ทั้งสิ้น 15 ประเทศ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 มิ.ย. 68)