
บล.พาย ระบุประเด็นการค้าของสหรัฐกับนานาประเทศพบว่าประธานาธิบดีทรัมป์ ประกาศอัตราภาษีนำเข้าแต่ละประแทศเป็นวันที่ 1 ส.ค.68 จากเดิม 9 ก.ค.68 ซึ่งทีมไทยแลนด์ได้เดินทางไปเจรจาการค้ากับสหรัฐ แต่ผลการเจรจายังไม่ประสบความสำเร็จทำให้จำเป็นจะต้องกลับมาทำข้อเสนอใหม่
ตลาดหุ้นไทยยังต้องติดตามเรื่องอัตราภาษีนำเข้าที่สหรัฐจะเรียกเก็บจากไทย 36% โดยมีผลในวันที่ 1 ส.ค.68 จึงแบ่งเป็นเหตุการณ์ (Scenario)
กรณีที่ 1. ไทยเผชิญภาษีนำเข้าต่ำ 10-18% SET Index อาจตอบรับเชิงบวกขึ้นไปทดสอบ 1,150-1,200 จุด และกลุ่มที่ได้รับผลกระทบเชิงลบอย่างนิคมอุตสาหกรรม และส่งออกมีแนวโน้มจะกลับมาเก็งกำไรระยะสั้น แต่อาจเป็นไปได้ยากกับกรณีนี้ เนื่องด้วยเวียดนามยื่นข้อเสนอที่ให้ประโยชน์กับสหรัฐค่อนข้างมาก แต่ก็ขึ้นกับข้อเสนอที่ไทยจะยื่นให้สหรัฐฯอีกครั้ง แต่เถ้าพิจารณาให้ถี่ถ้วนลงไปฝั่งสหรัฐอาจเพ่งเล็งไทยมากกว่าประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับจีน ดังนั้นโอกาสภาษีจะอยู่ในระดับต่ำจึงเป็นไปได้ยาก
กรณีที่ 2 ไทยเผชิญกับภาษีนำเข้าในอัตรากลางๆ 20-30% (เป็นไปได้มากที่สุด) เหตุที่เชื่อเช่นนี้ เพราะมองว่าข้อเสนอที่ไทยให้ไป (เท่าที่มีการเปิดเผย) อาจไม่จูงใจสหรัฐฯ มากนัก ไม่ว่าจะเป็นรื่องเพิ่มการนำเข้าเครื่องบิน ก๊าซธรรมชาติ สินค้าเกษตร รวมไปถึงเข้มงวดเรื่องสวมสิทธิ แต่ทั้งนี้ ด้วยการไทยเข้าไปเจรจาที่อัตราภาษีเดิม 36% สหรัฐคงจะปรับลดลงมาบ้าง ในส่วนของตลาดหุ้นกลุ่มส่งออกและนิคมฯอาจมีผลกระทบเช่นเดิมแม้จะยังไม่มากนัก แต่แนะให้เน้นกลุ่ม Defensive + Domestic Play จะปลอดภัยกว่า
กรณีที่ 3 โอกาสเผชิญอัตราภาษีสูงกว่า 30% อาจกดดัน SET Index ปรับฐานลงสู่จุด Low เดิม 1,050 จุด แต่จะทำให้ SET Index ซื้อขายในช่วง 1xPBV ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาหากลงมาถึงระดับดังกล่าวมักเป็นแนวรับที่ดี และ Downside จำกัด แนะระมัดระวังกลุ่มส่งออกและนิคมฯอาจโดนผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ และให้หันมาเลือกกลุ่ม Defensive อาทิ ADVANC BDMS TRUE CPALL MINT
สำหรัลกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ของไทยหากใช้สมการที่อิงกับการเติบโตทางเศรษฐกิจและกำไร บจ.บนสมมติฐาน เศรษฐกิจไทยขยายตัว 1.3%YoY จะได้ EPS ราว 90.5 บาท/หุ้น ใกล้เคียงกับ Bloomberg Consensus หากประเมิน PE ที่ราว 12x
บล.พาย ระบุว่า สหรัฐฯ ถือเป็นคู่ค้าอันดับแรกของไทยด้วยสัดส่วนการส่งออกราว 20% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด โดยมีสินค้าหลักๆ ได้แก่ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร ชิ้นส่วนยานยนต์ ยาง นอกจากนี้แล้ว หากดูสินค้าที่สหรัฐฯขาดดุลกับไทยจะประกอบด้วยสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องปรับอากาศ ส่วนเวียดนาม จะพบว่าสินค้าหลักที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ได้แก่ สินค้าอิเล็กทรอกนิกส์เช่นกัน หากไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันจากอัตราภาษี เชื่อว่ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์จะได้รับผลกระทบมากสุด (DELTA HANA KCE)
ในกรณีของ KCE อาจไม่ได้กระทบโดยตรง แต่จะโดนในทางอ้อมผ่านการส่งออกรถยนต์ไปยังสหรัฐฯจาก EU นอกจากนี้แล้วหากฐานภาษีสหรัฐสูงอาจกดดันกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ในส่วนทิศทางเศรษฐกิจไทยจากการประเมินของธนาคารแห่งประเทศไทย หากเป็นกรณีเผชิญภาษีนำเข้าในอัตราที่สูงเศรษฐกิจไทยในปีนี้อาจขยายตัวต่ำเพียง 1.3% YoY แต่หากเผชิญภาษีในอัตราที่ไม่สูงมากเศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวได้ 2%YoY
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 ก.ค. 68)