
นายวิน พรหมแพทย์ CFA, ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย (KASSET) เปิดเผยว่า ในปีนี้การลงทุนผันผวนมากจากภาวะเศรษฐกิจน่ากังวล ทำให้ช่วงครึ่งปีแรกภาพรวมกองทุนรวมเติบโตเพียง 1%กว่า แต่ KASSET เติบโตถึง 7% เนื่องมาจากการแนะนำการลงทุนให้กับลูกค้าได้อย่างเหมาะสมตั้งแต่ต้นปี ทั้งการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้และกองทุนผสม ซึ่งได้ดำเนินการร่วมกับธนาคารกสิกรไทย [KBANK] ทำให้มีเงินใหม่สุทธิเข้ามากองทุนของ KASSET มากสุดราว 8 หมื่นล้านบาท หรือประมาณครึ่งหนึ่งของเงินใหม่สุทธิของภาพรวมธุรกิจกองทุนรวมที่มีกว่า 1.5 แสนล้านบาท
“ทำไมเราถึงโตได้ถึง 7% เพราะเราแนะนำถูกเรื่อง ตั้งแต่ต้นปีเราแนะนำเข้าลงทุนตราสารหนี้ กองผสม ก็ถือว่าถูกที่ถูกเวลา และเราไปพร้อมกับ KBANK ด้วยจับมือกันแนะนำลูกค้าพอเจอภาษีทรัมป์เข้าไปตลาดลงลบกว่า 20% ก็ไม่เดือดร้อน กองตราสารหนี้ก็บวกส่วนกองทุนผสมอย่างมากก็ลบ 3% แสดงว่าเราพาลูกค้าฝ่าคลื่นลมแย่ๆ ออกมาค่อนข้างสบายกว่าเยอะเลย ต่อให้ผ่านภาษีทรัมป์มาเราก็พาลูกค้ารอดมากได้”นายวิน กล่าว
ส่วนครึ่งปีหลัง ยังคงแนะนำลงทุนกองตราสารหนี้ไทยและต่างประเทศ ถ้าเป็นกองทุนหุ้น แนะนำ K-GPIN ซึ่งเป็น Global Equity Fund ที่จะช่วยฝ่าด่านคลื่นลมเศรษฐกิจไปให้ได้ เหมาะกับตลาดหุ้นที่มีความผันผวนมากๆ โดยกองทุนนี้มีการลงทุน Option ไว้ด้วย
นายวิน กล่าวอีกว่า KASSET ยังยึดเป้าหมายเดิมที่จะผลักดันมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) แตะ 2 ล้านล้านบาทภายใน 3 ปี หรือปี 70 โดย ณ สิ้นเดือน มิ.ย.68 AUM อยู่ที่ 1.7 ล้านล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจกองทุนรวม 1.3 ล้านล้านบาท
นายวิน กล่าวถึง ตลาดหุ้นไทยจากที่รอผลการเจรจาการค้าไทย-สหรัฐ สุดท้ายสหรัฐประกาศเก็บภาษีจากไทย 19% เกาะกลุ่มประเทศอาเซียน จากนี้ไปคงต้องรอให้นักลงทุนสถาบันต่างชาติกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทย ท่ามกลางความกังวลเรื่องเศรษฐกิจของไทยที่ยังเติบโตต่ำ และปัจจัยการเมือง
หากต่างชาติกลับเข้ามาหุ้นไทยก็ไปต่อได้ ดังนั้นภาพระยะสั้นหรือรอบนี้ถ้าไม่ลงไปต่ำกว่าจุดต่ำสุดเดิม (1,050 จุด) ถือว่าฟื้น โดยแนะนำลูกค้าที่มองหุ้นไทยยังไม่ตอบโจทย์ให้ปรับพอร์ตหุ้นไทยมาเป็นหุ้นปันผล ซึ่งมีกองทุน K-Value ที่เน้นหุ้นปันผลสูงที่มี 4 กลุ่มคือธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ สื่อสาร และพลังงาน ที่คาดหวังจ่ายปันผล 5% และปีหน้า 6% นอกจากนี้กองทุนนี้กองทุนผันผวนน้อยกว่าตลาดหุ้นไทย
นางสาวภารดี มุณีสิทธิ์ CFA, รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน KASSET กล่าวว่า ในไตรมาส 3/68 ตลาดหุ้นไทยน่าจะ Price in เรื่องภาษีทรัมป์ที่เก็บไทย 19% และอยู่ในประมาณกำไรปีนี้ไปแล้ว ปีนี้นักวิเคราะห์ปรับลดคาดการณ์กำไรไปแล้ว 8% และคาดการณ์ GDP ไทยปีนี้โต 1.5% เพิ่มขึ้นจากคาดการณ์เดิม 1.4% โดยโอกาสเกิด Technical Recession น้อยลง และคาดว่าจะมี downside ของ Valuation กำไร
ดังนั้น ในครึ่งปีหลัง สิ่งที่เราจับตาคือ กำไรของบริษัทจดทะเบียนขึ้นกับ Sector ที่จะรับผลกระทบเรื่องภาษีมากน้อยแค่ไหน และอีกเรื่องสำคัญคือการเมืองในประเทศจะคลี่คลายไปทางไหน
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า GDP ไทยในช่วงครึ่งปีหลังอาจโตไม่ถึง 1% และทำให้ทั้งปี 68 อาจจะเติบโตได้แค่ 1.5% คาดหวังมาตรการกระตุ้นภาครัฐ การเบิกจ่ายจะช่วยกระตุ้น GDP ได้ 0.3% ที่จะช่วยชดเชยภาคท่องเที่ยวที่จำนวนตัวเลขนักท่องเที่ยวลดลงกว่าปีก่อนมาที่คาดไว้ที่ 32.2 ล้านคน และเป็นครั้งแรกที่ลดลงในรอบ 5 ปี
นางสาวภารดี กล่าวว่า ปัจจัยลบในช่วงครึ่งปีหลัง คือ การเมืองในประเทศ และความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา ถ้าลุกลามไปกว่านี้ก็เป็นปัจจัยเสี่ยง ทั้งนี้ กรณี Worst case ดัชนี SET น่าจะถอยกลับไปจุดต่ำสุดเดิมคือ 1,050 จุด upside มีไม่มาก มองดัชนี SET อยู่ที่ 1,300 จุด หลังจากเห็นผลกระทบจากภาษีทรัมป์ว่าจะไปทางไหน และ กำไร บจ.เริ่มหยุดไหล ทำให้หุ้นไม่ลงต่อ
นายวิน กล่าวว่า ในปัจจุบัน บลจ.กสิกรไทย สามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดกองทุน ESG Fund และ SRI Fund เป็นอันดับ 1 ในประเทศไทย ด้วยมูลค่า AUM กว่า 3.20 หมื่นล้านบาท และ 3.09 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 28.8% และ 37.3% ตามลำดับ นำโดยกองทุน K-TNZ-ThaiESG ซึ่งเป็นกองทุนหุ้น ThaiESG ที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรม ด้วยมูลค่ากว่า 2.98 พันล้านบาท และยังคงเป็นกองทุนที่ส่งเสริมการไปสู่เป้าหมาย Net Zero กองแรกและกองเดียวในประเทศไทย
ขณะที่กองทุน K-ESGSI-ThaiESG เป็นกองทุนตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืนภาครัฐที่ใหญ่ที่สุด ด้วยมูลค่ากว่า 6.27 พันล้านบาท นอกจากนี้กองทุน K-CHANGE ยังเป็นกองทุนหุ้น ESG ต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดเช่นเดียวกัน โดยมีมูลค่ากว่า 1.50 หมื่นล้านบาท (ที่มา : AIMC ณ วันที่ 30 มิ.ย. 68)
นายวิน กล่าวว่า ช่วงครึ่งปีแรก กอง K-ESGSI-ThaiESG ให้ผลตอบแทนสูงถึง 10% ในช่วงครึ่งปีหลังผลตอบแทนก็ยังไปต่อ แต่แนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยอาจจะน้อยกว่าครึ่งปีแรก คาดว่าผลตอบแทนอาจจะไม่ถึง 10% อย่างไรก็ดี ถือว่ายังมีผลตอบแทนทีอยู่ในระดับที่ดี ทั้งนี้ กรีนบอนด์มีเพียง 5% ของตลาดรวมที่มีอยู่ 9.5 แสนล้านบาท คาดว่าอนาคตจะมีซัพพลายเพิ่มมากขึ้น
“พูดถึงเรื่อง ESG มีเสียงตอบรับที่ดีทั้งลูกค้า และสถาบัน มี 3 กอง ลูกค้าบุคคลที่ลงทุนกองทุนรวมทั้ง K-TNZ-ThaiESG, K-ESGSI-ThaiESG เราก็เป็นที่หนึ่ง พอทำจริงจังลูกค้าก็ตอบรับ เขาเชื่อใจเราว่าให้กสิกรไทยลุยเรื่องนี้ ลูกค้าสถาบันคาดหวังว่า บลจ.จะลงทุนเรื่อง ESG ซักถามละเอียดมาก”
นายวิน กล่าวว่า KASSET มุ่งสู่การเป็นผู้นำด้านการลงทุนอย่างยั่งยืน (Sustainable Investing) อันดับ 1 ของไทย ภายใต้แนวคิด “Insight to Impact” เน้นการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ผ่านการดำเนินงานอย่างมีเป้าหมายหลัก 4 ประการ ได้แก่ 1.Trusted Partner for Sustainable Investment Solutions ส่งมอบผลิตภัณฑ์และคำแนะนำด้านการลงทุนอย่างยั่งยืนที่เชื่อถือได้และตอบโจทย์โลกที่มีการเปลี่ยนแปลง 2.Strengthening Active Ownership & ESG Integration ยกระดับการมีส่วนร่วมกับกิจการที่ลงทุนและผสาน ESG เข้ากับกระบวนการลงทุน 3.Leadership in Governance & Transparency ผู้นำด้านธรรมาภิบาลและการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสภายใต้มาตรฐานสากล และ 4.Net Zero Commitment ความมุ่งมั่นในการลดการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในระดับการดำเนินงานขององค์กรและพอร์ตลงทุน
ความสำเร็จด้านความยั่งยืนของ KASSET ในช่วงที่ผ่านมา ได้สร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมในทุกมิติของ ESG ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล โดยทางด้านสิ่งแวดล้อม สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน ได้แก่ การลงทุน และการดำเนินงานภายในองค์กร ในส่วนการลงทุน บลจ.กสิกรไทย ตั้งเป้าหมาย Net Zero AUM (Asset under Management in Scope) Emission ภายในปี 2065
อีกทั้งยังส่งเสริมและสนับสนุนการไปถึงเป้าหมาย Net Zero ของประเทศไทย ผ่านการพัฒนาและออกกองทุน K-Target Net Zero ซึ่งเน้นให้น้ำหนักการลงทุนในบริษัทที่มีแนวทางชัดเจนในการลดก๊าซเรือนกระจกที่สอดคล้องกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนในระยะยาว รวมถึงมีการประเมินความเสี่ยงและโอกาสด้านสภาพภูมิอากาศที่มีผลต่อพอร์ตลงทุนตามแนวทาง Task Force for Climate-Related Financial Disclosure -TCFD) ติดต่อกันมาต่อเนื่องเป็นปีที่ 3
นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต CFA, รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า การร่วมมือกับลอมบาร์ด ทำให้สามารถนำเสนอ Product ใหม่ๆ ตรงกับความต้องการ และตรงกับเป้าหมาย Net Zero ของประเทศไทย โดยจะเข้าลงทุนบริษัทที่มีส่วนช่วยลดหรือสนับสุนการลดก๊าซเรือนกระจก และ underweight บริษัทที่ทำด้านนี้ไม่ดีพอ ซึ่งการลงทุนหุ้นไทยจะใช้ Performance ที่อิง SET100 แต่มีคะแนน ESG ฉะนั้นเราจะลงทุนหุ้นที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ อย่างไรก็ดี หุ้นที่มีมีการปล่อยคาร์บอนสูง แต่เขามีความพยายามลดก๊าซเรือนกระจก มีวิธีการที่ดีหรือเปลี่ยนผ่าน ซึ่งหุ้นเหล่านี้จะช่วยลดอุณหภูมิโลกลงมาซึ่งการเปลี่ยนผ่านก็จำเป็นต้องใช้เงิน ซึ่งเราจะมีส่วนสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านซึ่งก็เป็นหุ้นที่เราสนใจด้วย
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 ส.ค. 68)