
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดดัชนีแกว่งตัวในกรอบ ทิศทางไซด์เวย์ แม้มีปัจจัยภายนอกกดดัน แต่ปัจจัยภายในประเทศยังมีโมเมนตัมเป็นบวก
ปัจจัยต่างประเทศมีความกังวลประเด็นสงครามการค้า หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารในวันนี้ ในการเรียกเก็บภาษีศุลกากรกับอินเดียเพิ่มเติมอีก 25% เป็น 50% นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ยังได้รับแรงกดดันจากการที่สหรัฐฯ ประกาศว่าจะเก็บภาษีนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์และชิปในอัตรา 100%
อย่างไรก็ตามระยะสั้นยังได้แรงหนุนจาก Fund Flow ประกอบกับแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงทั่วโลก ซึ่งเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เห็นด้วยกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไป ขณะที่การประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) วันนี้คาดว่าลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25%
สำหรับการเปิดเผยอัตราเงินเฟ้อไทยเมื่อวานนี้ (6 ส.ค.) หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 หนุนโอกาสที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้าเช่นกัน
นายวิจิตร มองว่า นักลงทุนจะโยกมาลงทุนในกลุ่ม mid-small รวมทั้งหุ้นขนาดใหญ่คาดมีแรงเก็งกำไรในหุ้นที่ผลประกอบการออกมาดีกว่าคาด ประคองตลาดได้
ให้กรอบแนวรับ 1,250 จุด และแนวต้าน 1,280 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
– ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (6 ส.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,193.12 จุด เพิ่มขึ้น 81.38 จุด หรือ +0.18%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,345.06 จุด เพิ่มขึ้น 45.87 จุด หรือ +0.73% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,169.42 จุด เพิ่มขึ้น 252.87 จุด หรือ +1.21%
– ตลาดหุ้นเอเชียภาคเช้าเปิดบวกวันนี้ ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดที่ระดับ 40,668.19 จุด ลดลง 126.67 จุด หรือ -0.31%, ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดที่ระดับ 24,982.50 จุด เพิ่มขึ้น 71.87 จุด หรือ +0.29% และดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนเปิดที่ระดับ 3,637.78 จุด เพิ่มขึ้น 3.79 จุด หรือ +0.10%
– ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (6 ส.ค.) 1,264.47 จุด เพิ่มขึ้น 17.51 จุด (+1.40%) มูลค่าซื้อขาย 65,232.67 ล้านบาท
– นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ (6 ส.ค.) 2,011.04 ล้านบาท
– ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. (6 ส.ค.) ลดลง 81 เซนต์ หรือ 1.24% ปิดที่ 64.35 ดอลลาร์/บาร์เรล
– ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (6 ส.ค.) อยู่ที่ 3.77 เหรียญ/บาร์เรล
– เงินบาทเปิด 32.32 แข็งค่าสอดคล้องภูมิภาค จับตาทิศทาง Flow-ราคาทอง-ประชุม BoE
– รัฐบาลเปิดทำเนียบฯพบ “30 บิ๊กคอร์ป” ชั้นนำของไทยและต่างประเทศ “ภูมิธรรม” ลั่นเร่งฟื้นเชื่อมั่น ดึงลงทุน 5.1 หมื่นล้าน พร้อมสร้างงานทันทีในอุตสาหกรรมเป้าหมายอีก 1.8 พันตำแหน่ง ก่อนเพิ่มเป็น 3,000 ตำแหน่งใน 2 ปี นักลงทุน เรียกร้องเพิ่มปริมาณไฟสะอาด RE100 หนุนไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาค ในทศวรรษหน้า
– กกร.เพิ่มเป้าจีดีพี ปีนี้ 1.8-2.2% จากเดิม 1.5-2.0% ส่งออกโต 2-3% จับตาเศรษฐกิจ ครึ่งปีหลังชะลอตัว แข่งขันรุนแรง เงินบาทแข็งค่า กำลังซื้อผู้บริโภคสหรัฐลดลง ส่วนเศรษฐกิจปีหน้า ยังคงมีความผันผวน “คลัง” ย้ำภาษีสหรัฐอยู่ ระหว่างตกลงรายหัวข้อก่อนเสนอสภาฯ คาดเคลียร์จบเดือนนี้เดินหน้าวางโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ หวังดันจีดีพีโต 3-5%
– “สุริยะ” เดินหน้าสร้างรถไฟทางคู่เฟส 2 จำนวน 6 เส้นทาง ลุยเคลียร์ปม “คลัง-สภาพัฒน์-สำนักงบฯ” เตรียมเสนอ ครม. ก.ย.นี้ ดัน 3 เส้นทางสร้างก่อน
– เงินเฟ้อ ก.ค.68 ลด 0.70% ลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน มีสาเหตุจากกลุ่มผักสด ผลไม้สด พลังงานปรับลดลงต่อเนื่อง ยันไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืดแม้จะติดลบ ยันคงเป้าเงินเฟ้อทั้งปีเดิม 0-1% ค่ากลาง 0.5% ขณะที่ “ปลัดคลัง” หวังเห็น “แบงก์ชาติ” ใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ช่วยกระตุ้นเงินเฟ้อไทยขยับเข้าใกล้กรอบเป้าหมายที่ 1-3%
– แจงภาษีทรัมป์เริ่ม 7 ส.ค.นี้ สินค้าไทยส่งไปโดนภาษี 19% ทันที ส่วนสินค้าสหรัฐฯ นำเข้ายังไม่ 0% เพราะต้องรอเจรจารายละเอียดต่อ และลงนามความตกลง ART และผ่านสภาก่อน เพิ่มเป้าจีดีพี 2.2% แต่เตือนครึ่งปีหลังเสี่ยงสูง ชี้ไทยอาจเจ็บหนักกว่าเวียดนามหากไม่เร่งปรับตัว
– ADVANC (กสิกรไทย) ราคาพื้นฐาน 321.79 บาท มุมมองเชิงบวกหลังรายงานกำไรไตรมาส 2/68 ที่ 10.98 พันล้านบาท สูงกว่าคาดการณ์ 7.3% พร้อมจ่ายเงินปันผลของการดำเนินงาน H1/68 ที่ 6.89 บาท เพิ่มขึ้น 41.5% YoY และสูงกว่าคาด 9.6% คิดเป็นอัตรา 95% และให้ผลตอบแทนปันผลต่อปีที่ 4.66% อีกทั้งการแข่งขันผ่อนคลายภายหลังการประมูลรอบล่าสุดส่งผลให้ ADVANC มีความสามารถในการทนทานต่อเศรษฐกิจชะลอตัว
– GPSC (คิงส์ฟอร์ด) “ซื้อเก็งกำไร” ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 37.25 บาท กำไรไตรมาส 2/68 ที่ 2 พันล้านบาท +77%QoQ, +41%YoY โดยกำไรปกติ 1.7 พันล้านบาท +44%QoQ, +21%YoY หนุนจากส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม หลักๆ จากโครงการ CFXD ที่รับรู้กำไร FX โรงไฟฟ้า XPCL ดีขึ้นตามปริมาณน้ำ และ AEPL ดีขึ้นจากรายการภาษี ขณะที่กำไรขั้นต้นจากการดำเนินงานหลักได้รับผลกระทบการลดลงของค่าความพร้อมจ่ายของโรงไฟฟ้า IPP และการสิ้นสุดสัญญาของโรงไฟฟ้า SPP บางแห่ง ความต้องการใช้ไอน้ำลูกค้าอุตสาหกรรมลดลง รวมถึงค่า Ft ที่ลดลง ส่วนแนวโน้ม ไตรมาส 3/68 ดีต่อเนื่อง ตลาดคาดกำไรปี 68-69 ที่ 4.6 พันล้านบาท +13%YoY และ 5.1 พันล้านบาท +11%YoY
– BH (เมย์แบงก์) เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 225.00 บาท ราคาหุ้น YTD -16% เทียบกับ SET Index -12.9% ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยราคา ณ ปัจจุบัน ถูกซื้อขายที่ PE’68 ที่ 17.9 เท่า เทียบกับ อุตสาหกรรมที่ซื้อขายเฉลี่ย 19.8 เท่า การ laggard ช่วยจำกัด Downside เราคาดว่า กำไร H2/68 ฟื้นตัว HoH เข้าสู่ช่วง High Season รวมถึงไม่มีผลกระทบจากรอมฎอนและแผ่นดินไหว ส่วน YoY ฟื้นตัวจากการควบคุมต้นทุนที่ดีขึ้นอีกทั้งการต่อสัญญาและขยายตลาดในตะวันออกกลางเพิ่มเติมหนุน Upside
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 ส.ค. 68)