ผู้เชี่ยวชาญชี้การเจรจาทรัมป์-ปูตินช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดแม้ไร้ข้อตกลง

ปีเตอร์ คุซนิค ผู้อำนวยการสถาบันศึกษานิวเคลียร์แห่งมหาวิทยาลัยอเมริกัน กล่าวกับผู้สื่อข่าวสำนักข่าวทัสเกี่ยวกับผลการประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่อลาสกาว่า ถือเป็นก้าวแรกที่ยอดเยี่ยมในการปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและสหรัฐ และการแก้ไขวิกฤตยูเครน เนื่องจากมีการผ่อนคลายความตึงเครียดอย่างชัดเจน

“ไม่เพียงแต่การพบปะจะไม่ล้มเหลวตามที่บางฝ่ายหวังไว้ โดยเฉพาะผู้นำยุโรป สื่อสหรัฐฯ ตัวแทนสภาคองเกรส และผู้นำในยูเครน แต่ประธานาธิบดีทั้งสองระบุด้วยว่า การเจรจามีความคืบหน้าและตกลงกันในเรื่องต่างๆ มากกว่าที่จะไม่ลงรอยกัน ผู้นำทั้ง 2 ประเทศยังระบุด้วยว่าจะพบกันอีกในไม่ช้า ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ที่เป็นบวก”

“ผมจะบอกว่า โดยรวมแล้ว นี่เป็นก้าวแรกที่ยอดเยี่ยม และผมหวังว่าพวกเขาจะพบปะกันอีกครั้งเร็วกว่าที่คาดไว้ ซึ่งจะนำไปสู่การสรุปข้อตกลงกรอบการทำงานที่มีประสิทธิภาพเพื่อยุติสงครามยูเครน และยิ่งไปกว่านั้นเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดทั่วโลก และพาเราออกจากหน้าผาอันน่าสะพรึงกลัวของสงครามโลกครั้งที่ 3” คุซนิคเน้นย้ำ

คุซนิคระบุว่า “เป็นเรื่องดีที่ความตึงเครียดที่รู้สึกได้อย่างชัดเจนในช่วงสมัยของประธานาธิบดีไบเดนได้เริ่มผ่อนคลายและเราได้พูดคุยกันอีกครั้ง สงครามรัสเซีย-ยูเครนเป็นหายนะสำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้อง และยิ่งจบเร็วเท่าไร ก็จะยิ่งดีสำหรับทุกคน การให้สหรัฐฯ และรัสเซีย ซึ่งเป็นประเทศยักษ์ใหญ่ที่มีอาวุธนิวเคลียร์ทั้งสองประเทศ นั่งด้วยกันและพูดคุยแทนที่จะข่มขู่ นับเป็นก้าวยิ่งใหญ่ในทิศทางที่ถูกต้อง”

นอกจากนี้ คุซนิคยังย้ำว่าการประชุมสุดยอดที่อลาสกามีนักธุรกิจและที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจเข้าร่วมด้วย ซึ่งบ่งชี้ว่าทั้งสองฝ่ายกำลังหารือเรื่องการผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรและโครงการพัฒนาเศรษฐกิจร่วม รวมถึงการพัฒนาอาร์กติกและอาจรวมถึงอุโมงค์ช่องแคบเบริงที่เชื่อมต่อสองประเทศ

“ผมคิดว่าเป็นการให้กำลังใจอย่างมากที่ดูเหมือนทั้งสองฝ่ายจะมีความสนใจที่จะทำงานเพื่อสนธิสัญญาควบคุมอาวุธนิวเคลียรฉบับใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสนธิสัญญา New START จะหมดอายุลงในเดือนกุมภาพันธ์” ผู้เชี่ยวชาญสรุป

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ส.ค. 68)