เอกชนจี้รัฐเร่ง 7 มาตรการสกัดผลกระทบภาษีสหรัฐฯ หนุนปรับโครงสร้างการผลิต

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เรียกร้องให้ภาครัฐเร่งเดินหน้า 7 มาตรการเพื่อรับมือผลกระทบจากภาษีนำเข้าสินค้า (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐฯ ขณะเดียวกันได้จัดเตรียมความพร้อมในการปรับตัวให้กับผู้ประกอบการที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน โดยมุ่งหวังที่จะพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศให้มีอัตราการเติบโตในระดับ 4-5% จากที่อยู่ในระดับ 2% ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวต่ำสุดในกลุ่มอาเซียน (อันดับ 6 ของประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใกล้เคียงกันคือ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และไทย)

ทั้งนี้ ประเทศเพื่อนบ้านได้เดินหน้าปรับตัวกันอย่างมาก อย่างสิงคโปร์แม้จะถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราเพียง 10% แต่ได้ประกาศร่วมลงทุนกับประเทศมาเลเซียในการเปิดเขตลงทุนเสรีในรัฐยะโฮร์ที่มีขนาดใหญ่กว่าโครงการอีอีซีมาก ซึ่งมีความได้เปรียบในเรื่องพลังงานราคาถูก เนื่องจากมาเลเซียเป็นผู้ผลิตน้ำมัน ซึ่งเรื่องนี้บีโอไอต้องเร่งปรับเงื่อนไขให้รวดเร็ว

สำหรับข้อเสนอแนวทางการรับมือผลกระทบจากภาษี Reciprocal Tariff ของสหรัฐฯ ได้แก่

1.เร่งทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของสหรัฐฯ ในการจัดเก็บภาษี Reciprocal Tariff กับประเทศไทย

2.มอบหมายหน่วยงานหลักทำหน้าที่ให้คำปรึกษาและแนะนำผู้ประกอบการในเรื่องการคำนวณสัดส่วนมูลค่าการผลิตในประเทศ (Regional Value Content: RVC)

3.มาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการในการปรับตัว (Transformation) ธุรกิจ และปรับ Supply Chain เพื่อรับมือกับมาตรการภาษี Reciprocal Tariff ของสหรัฐฯ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม (Competitiveness) ในระยะยาว

4.บูรณาการความร่วมมือในการสร้างบทบาทเชิงรุกในการดำเนินมาตรการ เพื่อลดผลกระทบจากการเบี่ยงเบนทางการค้า (Trade Diversion)

5.พัฒนาความสัมพันธ์ความเป็นหุ้นส่วนทางด้านการค้าและการลงทุนกับสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันนำไปสู่การเจรจาลดภาษีหรือกำหนดโควตาภาษีเป็น 0%

6.เร่งเจรจาทำความตกลงทางการค้า FTA เพิ่มเติม เพื่อสร้างแต้มต่อในการส่งออกของไทย

7.มาตรการกำกับดูแลค่าเงินบาทไม่ให้ผันผวนหรือแข็งค่าเร็วกว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาค

 

ประธาน ส.อ.ท. กล่าวถึงกรณีสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์คาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจในปี 68 จะขยายตัวอยู่ในช่วง 1.8-2.3% นั้นก็สอดคล้องกับที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เคยประเมินไว้ที่ 1.8-2.2% ซึ่งตนมั่นใจว่าการประเมินของ กกร.จะใกล้ความจริงมากสุดเพราะใช้ฐานข้อมูลที่เป็นจริง

ส่วนปัญหาแรงงานต่างด้าวที่เกิดจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชานั้นจะมีผลในระยะสั้น โดยส่วนใหญ่เป็นภาคเกษตรกรรมที่มีการใช้แรงงานอย่างเข้มข้น แต่ในระยะต่อไปสามารถที่จะนำแรงงานต่างด้าวสัญชาติอื่นเข้ามาทดแทน

ขณะที่ ส.อ.ท.เตรียมเสนอภาครัฐให้มีการปรับโครงสร้างการผลิต โดยการใช้ระบบหุ่นยนต์และแรงงานที่มีทักษะสูง โดยเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายจากการใช้แรงงานต่างด้าวที่มีอยู่ราว 4 ล้านคนต่อวันกับผลิตภาพที่ออกมา ขณะที่เราต้องแบกรับภาระเรื่องระบบสาธารณสุข ระบบการศึกษา ความมั่นคง ซึ่งถือเป็นค่าเสียโอกาสของคนไทยที่ถูกแรงงานต่างด้าวมาแย่งใช้ระบบสวัสดิการภาครัฐ

“ทุกวันมีเงินไหลออกจากค่าแรงของต่างด้าว 4 ล้านคนจำนวนมหาศาล ขณะที่เราต้องแบกรับภาระเรื่องระบบสาธารณสุข การศึกษา ความมั่นคง เป็นเรื่องที่ต้อง Wake Up Call แต่ช่วงนี้ต้องเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน” นายเกรียงไกร กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 ส.ค. 68)