ไทย-สิงคโปร์ ประกาศความร่วมมือ ดึงนลท.ปักหมุดอุตสาหกรรมเป้าหมาย

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า บีโอไอ ร่วมกับสภาธุรกิจสิงคโปร์ (SBF) จัดงาน Singapore Regional Business Forum ครั้งที่ 9 เพื่อประกาศความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ในการขยายการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่จัดงานนี้ในประเทศไทย และเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-สิงคโปร์ โดยมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง และนายตัน ซี เหล่ง รมว.แรงงาน และ รมต.กำกับดูแลด้านพลังงานและวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประจำกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม สาธารณรัฐสิงคโปร์ เป็นประธานร่วม โดยมีนักธุรกิจชั้นนำและผู้บริหารภาครัฐจากสิงคโปร์เดินทางมาเข้าร่วมงานกว่า 200 คน นอกจากนี้ยังมีผู้นำภาครัฐและเอกชนจากไทยและประเทศอื่น ๆ เข้าร่วมงานด้วย รวมมากกว่า 450 คน จาก 25 ประเทศทั่วโลก

นายพิชัย กล่าวว่า การจัดงาน Singapore Regional Business Forum ครั้งนี้มีความหมายพิเศษ เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการฑูตระหว่างไทย-สิงคโปร์ครบ 6 ทศวรรษ ซึ่งสะท้อนถึงมิตรภาพที่แน่นแฟ้นและความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ที่มีเป้าหมายร่วมกันในการพัฒนาภูมิภาคสู่ความเจริญรุ่งเรือง โดยที่ผ่านมาไทยและสิงคโปร์มีพัฒนาการความร่วมมือกันในหลายมิติ ทั้งเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และยังครอบคลุมถึงอุตสาหกรรมในอนาคตโดยเฉพาะด้านดิจิทัลและพลังงานสะอาด

“ความสัมพันธ์ไทย-สิงคโปร์ยืนยาวกว่าครึ่งศตวรรษและยังคงแข็งแกร่ง ในปีที่ผ่านมาสิงคโปร์เป็นนักลงทุนอันดับหนึ่งในประเทศไทย และครึ่งแรกของปีนี้ มูลค่าการลงทุนจากสิงคโปร์ยังคงนำเป็นอันดับหนึ่ง ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งที่ผ่านมามีการลงทุนในโครงการสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น SATS Food ผู้ผลิตอาหารสำหรับบริโภคบนเครื่องบิน และยังจัดตั้งศูนย์ R&D ในไทย บริษัท Oatside ผู้ผลิตนมข้าวโอ๊ตชั้นนำ และ CapitaLand ที่ร่วมกับบริษัทไทยพัฒนาศูนย์กระจายสินค้ามาตรฐานสูง นอกจากนี้ยังมีความสัมพันธ์ผ่านกรอบความร่วมมือระดับภูมิภาค เช่น AFTA และ RCEP ที่ช่วยขยายโอกาสทางการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ลึกซื้ง และเข้มแข็งมากขึ้น ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ความร่วมมือระหว่างประเทศเป็นสิ่งจำเป็น มิตรภาพระหว่างไทยและสิงคโปร์ เป็นตัวอย่างความร่วมมือที่มีเป้าหมายในการสร้างอนาคตที่รุ่งเรืองและยั่งยืนไปพร้อมกัน” นายพิชัย กล่าว

นายตัน ซี เหล่ง กล่าวว่า ไทยและสิงคโปร์มีเป้าหมายเดียวกันในการสร้างความร่วมมือทางธุรกิจและพัฒนาโอกาสใหม่ร่วมกัน ที่ผ่านมาสิงคโปร์มีการลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันเป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในไทย แต่สิ่งที่มากกว่านั้น คือความร่วมมือในการพัฒนานวัตกรรมและความยั่งยืนทางธุรกิจร่วมกันเพื่อประชาชนของทั้งสองประเทศ เช่น โครงการพัฒนาพลังงานอย่างยั่งยืน และนวัตกรรมในการดูแลสุขภาพของคนไทย นอกจากนี้ยังมีการลงนามความร่วมมือในหลายด้าน เช่น อีคอมเมิร์ซ ฟินเทค การค้าสินค้าเกษตร และการลดก๊าซเรือนกระจก

“โลกปัจจุบันกำลังเปลี่ยนแปลงและมีความซับซ้อนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ ห่วงโซ่อุปทานที่กำลังเปลี่ยนแปลง และความมั่นคงด้านพลังงาน ตลอดจนเทคโนโลยี AI ที่เข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คน ในสภาวะเช่นนี้ ความร่วมมือทวิภาคีในระดับภูมิภาคจึงจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะในด้านดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียวที่มีมูลค่ามหาศาล และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ซึ่งสิงคโปร์และไทยมีแผนทำงานร่วมกัน เพื่อเปลี่ยนความท้าทายให้เป็นโอกาส ร่วมสร้างเศรษฐกิจในภูมิภาคที่แข็งแกร่งและยั่งยืน” นายตัน ซี เหล่ง กล่าว

เลขาธิการบีโอไอ กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตสำคัญของอุตสาหกรรมใหม่ในภูมิภาค เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง รวมถึงธุรกิจดิจิทัลที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยจุดแข็งและความพร้อมของไทย ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ ไฟฟ้าที่มีความเสถียรและมีศักยภาพด้านพลังงานสะอาด ซัพพลายเชนที่แข็งแกร่ง บุคลากรที่มีคุณภาพ นโยบายสนับสนุนจากภาครัฐและมาตรการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ รวมทั้งตลาดที่มีศักยภาพ ทั้งตลาดภายในประเทศและเป็นประตูสำคัญสู่ตลาดใหญ่ทั่วโลกผ่านข้อตกลงการค้า FTA รวมถึง RCEP ที่ครอบคลุมประชากรถึง 30% ของโลก

ในงานนี้ เลขาธิการบีโอไอและซีอีโอสภาธุรกิจสิงคโปร์ (SBF) ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ อุตสาหกรรมอาหาร อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง การแพทย์ เทคโนโลยีชีวภาพ และการท่องเที่ยว พร้อมมุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียวร่วมกัน

“การสร้างความร่วมมือระหว่างไทยกับสิงคโปร์ครั้งนี้จะเชื่อมโยงโอกาสการลงทุนระหว่างสองประเทศ โดยผสานจุดแข็งของสิงคโปร์ที่มีความแข็งแกร่งด้านเทคโนโลยี เงินทุน และเครือข่ายธุรกิจทั่วโลก ขณะที่ไทยมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน ซัพพลายเชน พื้นที่รองรับอุตสาหกรรม พลังงานไฟฟ้า รวมทั้งศักยภาพด้านพลังงานสะอาด ที่สามารถรองรับการสร้าง Green Supply Chain ร่วมกัน เพื่อให้นักลงทุนทั้งไทยและสิงคโปร์ เดินหน้าสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนได้” นายนฤตม์ กล่าว

สำหรับสถิติการลงทุนจากสิงคโปร์ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2563-มิ.ย.68) มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนรวม 1,099 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 8.1 แสนล้านบาท นำโดยอุตสาหกรรมดิจิทัล ประมาณ 4 แสนล้านบาท อิเล็กทรอนิกส์ 1.9 แสนล้านบาท ยานยนต์และชิ้นส่วน 6.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีทั้งบริษัทสิงคโปร์ และบริษัทจากประเทศอื่น ๆ ที่ลงทุนผ่านสำนักงานภูมิภาคที่ตั้งอยู่ในสิงคโปร์ โดยการลงทุนจากบริษัทสิงคโปร์ส่วนใหญ่อยู่ในกิจการดาต้าเซ็นเตอร์และบริการคลาวด์ กิจการพัฒนาซอฟต์แวร์และดิจิทัลแพลตฟอร์ม กิจการผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ กิจการผลิตอาหารที่ใช้เทคโนโลยีสูง กิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ กิจการโรงแรม และกิจการด้านโลจิสติกส์

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 ส.ค. 68)