PRM มั่นใจปี 68 รายได้ทำนิวไฮ จ่อเพิ่มเรือขนส่งเคมีหลังดีมานด์น้ำมันชะลอ

นายวิริทธิ์พล จุไรสินธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่การเงินกลุ่ม บมจ.พริมา มารีน [PRM] เปิดเผยในงาน Thailand Earnings Call Q2/2025 “Dividend Universe เจาะหุ้นแข็งแกร่ง ยั่งยืน ปันผลสูง”ว่า ทิศทางผลการดำเนินงานในปี 68 เชื่อมั่นว่าปีนี้รายได้จะสามารถทำ New High ได้ จากปี 67 ที่มีรายได้ 8,958.03 ล้านบาท นอกจากนี้ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อจัดหาเรือขนส่งเคมี เพิ่มเติมอยู่ คาดว่าจะมีการเปิดเผยความชัดเจนช่วงต้นเดือนก.ย. ขณะที่สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ไม่กระทบธุรกิจเนื่องจากลูกค้ามีการเปลี่ยนเส้นทางขนส่งไปยังประเทศอื่น

ทั้งนี้การเติบโตในปี 68 ประกอบด้วยธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปและเคมี (Petroleum and Chemical Tankers “PCT” ) ซึ่งยอมรับว่าเรือขนส่งน้ำมันไม่ใช่ธุรกิจที่เติบโตมาก เนื่องจากการเข้ามาของรถยนต์ EV ดังนั้นบริษัทจึงมีการกระจายความเสี่ยงขยายกองเรือขนส่งเคมีเพิ่มขึ้น จาก 2 ลำในปี 64 เป็น 9 ลำในปัจจุบัน ซึ่งจะรองรับดีมานด์จากการเพิ่มกำลังการผลิตโรงกลั่นน้ำมันในไทย ซึ่งส่วนมากในการเพิ่มกำลังการผลิตจะได้ผลิตภัณฑ์อื่นที่ไม่ใช่น้ำมันด้วย ทำให้มีการขนส่งผลิตภัณฑ์อื่นของลูกค้าเพิ่มขึ้น ประกอบกับบริษัทยังมองเห็นโอกาสในการขยายการให้บริการในต่างประเทศด้วย

ขณะที่ธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันดิบ (Crude Oil Carrier “COC”) การเติบโตของกลุ่มดังกล่าวขึ้นอยู่กับการขยายกำลังการผลิตของลูกค้า ซึ่งหากลูกค้าขยายโรงกลั่นจะเป็นโอกาสของกลุ่มบริษัทในการจัดหาเรือให้ได้มากขึ้น สำหรับธุรกิจเรือกักเก็บและผสมน้ำมันกลางทะเล (Floating Storage Unit “FSU”) เป็นธุรกิจที่มีกำไรขั้นต้นสูง แต่มีความผันผวน ซึ่งบริษัทพยายามขยายลูกค้ามากขึ้น โดยเฉพาะในสิงคโปร์ ทั้งนี้ธุรกิจ FSU ได้แรงหนุนจากความไม่สงบในตะวันออกกลาง และทะเลแดง ทำให้เรือต้องเปลี่ยนเส้นทาง โดยมีระยะทางที่เพิ่มขึ้นทำให้ต้องใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น และในสิงคโปร์เป็นจุดเติมน้ำมันที่สำคัญของเอเชีย ซึ่งจะช่วยหนุนธุรกิจ FSU ได้

ด้านธุรกิจเรือสนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล (Offshore Support Vessel “OSV”) ยังมีโอกาสในการเติบโตต่อเนื่อง เนื่องจากเรือในธุรกิจดังกล่าวมีหลายประเภท แต่ปัจุบันบริษัทมีเรือทำงาน 3 ประเภททำให้ยังมีโอกาส หากลูกค้าเปิดประมูลรอบใหม่ บริษัทจะเข้าร่วมประมูลด้วย ซึ่งมั่นใจว่าจากการให้บริการเรือทั้ง 3 ประเภทที่มีประวัติการให้บริการที่ดี จะมีโอกาสในการขยายงานส่วนอื่น ๆ เพิ่มเติม ทั้งนี้บริษัทยังมุ่งเน้น Crew Boat เนื่องจากยังมีความต้องการสูง และจะเน้นขยายไปยังต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยปีนี้เริ่มให้บริการเรือ 2 ลำในตะวันออกกลาง ได้รับการตอบรับค่อนข้างดี เชื่อมั่นว่ามีโอกาสขยายงานในส่วนตะวันออกกลางเพิ่มเติม

สำหรับประเด็นความขัดแย้งไทย-กัมพูชา อาจกระทบต่อธุรกิจ PCT ซึ่งบริษัทมีการขนส่งไปยังกัมพูชาราว 10-15 เที่ยวต่อเดือน เทียบกับการขนส่งของธุรกิจ PCT รวมมากกว่า 300 เที่ยวต่อเดือน สะท้อนว่าสัดส่วนการขนส่งกัมพูชามีเพียง 5% ของทั้งหมด นอกจากนี้บริษัทมีการขนส่งตามคำสั่งลูกค้า ซึ่งลูกค้าได้เปลี่ยนเส้นทางจนส่งไปยังมาเลเซียและสิงค์โปร์แทน ช่วงแรกอาจต้องมีการปรับเส้นทางแต่ระยะถัดจะไม่ได้รับผลกระทบ

ด้านผลการดำเนินงานในงวด 6 เดือนปี 68 บริษัทมีกำไรสุทธิ ปรับลดลงเล็กน้อยจากปี 2567 จากการนำเรือ VLCC และเรือ AWB เข้าอู่แห้งเพื่อซ่อม บำรุงตามแผน และการนำเรือ Aframax เข้าอู่เพื่อดัดแปลงให้เป็นเรือ Floating Storage and Offloading (FSO) โดยปัจจุบันเรือทั้งหมดได้กลับเข้าทำงานตามปกติแล้ว นอกจากนี้การเพิ่มเรือให้บริการในธุรกิจ OSV อีก 4 ลำ ตั้งแต่ครึ่งแรกของปีจะช่วยให้ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 เติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/68 ที่ลดลง เกิดจากรายการปรับปรุงค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเช่าเรือย้อนหลัง 150 ล้านบาท และกำไรจากการขายเรือ 163.6 ล้านบาท ในไตรมาส 1/68

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 ส.ค. 68)