
โฆษกกระทรวงการค้าอินโดนีเซียเปิดเผยวันนี้ (25 ส.ค.) ว่า ทางการได้ออกโรงเรียกร้องให้สหภาพยุโรป (EU) ดำเนินการยกเลิกมาตรการภาษีตอบโต้การอุดหนุนที่ใช้กับสินค้าไบโอดีเซลโดยทันที หลังจากที่องค์การการค้าโลก (WTO) ได้มีคำตัดสินให้ฝ่ายอินโดนีเซียเป็นผู้ชนะในประเด็นสำคัญหลายข้อ
กรณีพิพาทดังกล่าวสืบเนื่องมาจากการที่อินโดนีเซียได้ทำการยื่นฟ้องต่อ WTO เมื่อปี 2566 โดยกล่าวหาว่าการที่ EU ตั้งกำแพงภาษีต่อเชื้อเพลิงไบโอดีเซลที่นำเข้าจากอินโดนีเซียนั้น ถือเป็นการดำเนินการที่ขัดต่อกฎเกณฑ์ของ WTO
EU เป็นตลาดส่งออกผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มรายใหญ่อันดับ 3 ของอินโดนีเซีย และเป็นตลาดไบโอดีเซลที่สำคัญของอินโดนีเซีย
บูดี ซันโตโซ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าอินโดนีเซีย กล่าวในแถลงการณ์ว่า “เราขอเรียกร้องให้ EU เพิกถอนมาตรการภาษีนำเข้าตอบโต้เหล่านี้ที่ไม่สอดคล้องกับพันธกรณีของ WTO โดยทันที” และเสริมว่า “ชัยชนะในครั้งนี้นับเป็นบทพิสูจน์ที่แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลอินโดนีเซียยึดมั่นในกฎการค้าสากลมาโดยตลอด และไม่ได้ดำเนินนโยบายที่บิดเบือนกลไกการค้าแต่อย่างใด”
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้น หลังคณะผู้พิจารณาของ WTO ได้ลงความเห็นว่า มาตรการภาษีและค่าธรรมเนียมการส่งออกน้ำมันปาล์มของอินโดนีเซีย ไม่อาจจัดได้ว่าเป็นการอุดหนุน อีกทั้งคณะกรรมาธิการยุโรปก็ไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นถึงภัยคุกคามที่จะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมีนัยสำคัญต่ออุตสาหกรรมไบโอดีเซลของยุโรปได้
“ด้วยเหตุนี้ คณะผู้พิจารณาของ WTO จึงตัดสินว่าการตั้งกำแพงภาษีของ EU ต่อไบโอดีเซลของอินโดนีเซียนั้น ไม่ได้ตั้งอยู่บนหลักฐานเชิงวัตถุวิสัย” บูดีกล่าว
ทั้งนี้ EU ได้บังคับใช้มาตรการภาษีตอบโต้ในอัตรา 8%-18% มาตั้งแต่ปี 2562 โดยกล่าวอ้างว่าผู้ผลิตไบโอดีเซลของอินโดนีเซียได้รับผลประโยชน์จากการอุดหนุนของภาครัฐในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งเงินให้เปล่า สิทธิประโยชน์ทางภาษี และการเข้าถึงวัตถุดิบในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด
ผลพวงจากมาตรการภาษีดังกล่าวได้ส่งผลให้ยอดการส่งออกไบโอดีเซลจากน้ำมันปาล์มของอินโดนีเซียดิ่งลงอย่างฮวบฮาบ จาก 1.32 ล้านกิโลลิตรในปี 2562 เหลือเพียง 36,000 กิโลลิตรในปี 2563 ส่วนในปี 2567 อินโดนีเซียส่งออกได้ 27,000 กิโลลิตร
อย่างไรก็ดี แม้คำตัดสินดังกล่าวจะสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ แต่กระบวนการอาจถึงทางตันและไม่มีคำตัดสินชี้ขาดเป็นที่สิ้นสุดออกมา เนื่องจากองค์กรอุทธรณ์ซึ่งเปรียบเสมือนศาลสูงสุดของ WTO นั้นไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้
อนึ่ง องค์กรอุทธรณ์ของ WTO ต้องตกอยู่ในสภาวะอัมพาตและหยุดปฏิบัติหน้าที่ไปตั้งแต่ปี 2562 อันเนื่องมาจากการที่รัฐบาลสหรัฐฯ ในสมัยของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ขัดขวางกระบวนการแต่งตั้งตุลาการซ้ำแล้วซ้ำเล่า
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 ส.ค. 68)