
สถานการณ์ชายแดนโปแลนด์-ยูเครนทวีความตึงเครียดในวันนี้ (10 ก.ย.) เมื่อกองทัพโปแลนด์ยืนยันเป็นครั้งแรกว่า ได้ส่งเครื่องบินรบของตนเองและชาติพันธมิตรนาโตขึ้นปฏิบัติการยิงสกัดโดรนของรัสเซียที่ล่วงล้ำเข้ามาในน่านฟ้าจากฝั่งยูเครน นับเป็นการเข้าปะทะกับยุทโธปกรณ์ของรัสเซียในดินแดนโปแลนด์ครั้งแรกนับตั้งแต่สงครามยูเครนเริ่มต้นขึ้น
กองบัญชาการปฏิบัติการแห่งกองทัพโปแลนด์ออกแถลงการณ์ว่า “ระหว่างการโจมตีของรัสเซียในยูเครน น่านฟ้าของเราถูกละเมิดหลายครั้งโดยวัตถุประเภทโดรน” พร้อมระบุว่า “ขณะนี้กำลังมีปฏิบัติการเพื่อระบุและทำลายวัตถุเหล่านี้ มีการใช้อาวุธ และเจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการภาคพื้นดินเพื่อค้นหาตำแหน่งของวัตถุที่ถูกยิงตก”
ทางการทหารได้ประกาศเตือนภัยประชาชนใน 3 จังหวัด ได้แก่ ปอดลาแช มาซอฟแช และลูบลิน ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงสูงสุด ให้อยู่แต่ในเคหสถานเพื่อความปลอดภัย ขณะที่ปฏิบัติการยังคงดำเนินต่อไป
ผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว องค์การบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐฯ (FAA) เปิดเผยว่า โปแลนด์ได้สั่งปิดสนามบินชั่วคราวถึง 4 แห่ง ซึ่งรวมถึงท่าอากาศยานโชแปงในกรุงวอร์ซอ และท่าอากาศยานแชชุฟ-ยาซิออนกา ซึ่งเป็นศูนย์กลางการขนส่งความช่วยเหลือด้านอาวุธที่สำคัญไปยังยูเครน อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการยืนยันเรื่องการปิดสนามบินอย่างเป็นทางการจากฝั่งโปแลนด์
สถานการณ์ดังกล่าวยังคงเต็มไปด้วยความสับสนของข้อมูล โดยก่อนหน้านี้ กองทัพอากาศยูเครนเคยรายงานผ่านแอปเทเลแกรมว่าโดรนรัสเซียได้บินล้ำเข้าไปในโปแลนด์และเป็นภัยคุกคามต่อเมืองซามอชช์ แต่ในเวลาต่อมาก็ได้ลบข้อความดังกล่าวออกไป ขณะที่กระทรวงกลาโหมของรัสเซียยังไม่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนี้
ด้านดิก เดอร์บิน วุฒิสมาชิกพรรคเดโมแครตของสหรัฐฯ แสดงความเห็นว่า การที่โดรนรัสเซียละเมิดน่านฟ้านาโตซ้ำ ๆ เป็นสัญญาณว่า “วลาดิเมียร์ ปูติน กำลังทดสอบความมุ่งมั่นของเราในการปกป้องโปแลนด์และกลุ่มประเทศบอลติก” และย้ำว่า “การรุกล้ำเหล่านี้จะถูกเพิกเฉยไม่ได้”
ทั้งนี้ โปแลนด์ได้ยกระดับการเฝ้าระวังน่านฟ้าขั้นสูงสุดมาโดยตลอด นับตั้งแต่เกิดเหตุขีปนาวุธของยูเครนตกใส่หมู่บ้านทางภาคใต้ของประเทศโดยไม่ตั้งใจเมื่อปี 2565 ซึ่งส่งผลให้มีพลเมืองเสียชีวิต 2 ราย
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 ก.ย. 68)