
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ตามที่บีโอไอได้ดำเนินการมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน โดยการดึงดูดบุคลากรคุณภาพสูงเข้าสู่ประเทศไทย ผ่านมาตรการวีซ่าชนิดพิเศษ “Long-Term Resident Visa (LTR Visa)” สำหรับชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูง 4 กลุ่ม ได้แก่ 1) ผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ (Highly Skilled Professionals) 2) ผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานจากประเทศไทยให้กับนายจ้างในต่างประเทศ (Work-from-Thailand Professionals) 3) ผู้ที่มีความมั่งคั่งสูง (Wealthy Global Citizen) และ 4) ผู้เกษียณอายุ (Wealthy Pensioners)
โดยประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 65 เป็นต้นมา ปัจจุบันมีผู้ได้รับอนุมัติ LTR Visa รวมกว่า 7,000 คน จากทั้งกลุ่มยุโรป 42% สหรัฐอเมริกา 19% และเอเชีย อาทิ ญี่ปุ่น 9% จีน 5% และอินเดีย 4% สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจกว่า 23,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเม็ดเงินจาก 4 ช่องทางหลัก ได้แก่ ค่าธรรมเนียมวีซ่า ประมาณการค่าใช้จ่ายในประเทศไทยของผู้ถือวีซ่า การลงทุนโดยตรง และรายได้ภาษีจากผู้เชี่ยวชาญทักษะสูง
อย่างไรก็ดี เมื่อเดือนม.ค. 68 ที่ผ่านมา บีโอไอได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ปรับปรุงมาตรการ LTR Visa โดยปรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขสำหรับกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความน่าดึงดูดของมาตรการ และสามารถเข้าถึงกลุ่ม Talent ได้กว้างขวางยิ่งขึ้น รวมทั้งขยายขอบเขตให้ครอบคลุมถึงอาจารย์ชาวต่างชาติในสถาบันการศึกษาและอาชีวศึกษาในสาขาต่าง ๆ เพื่อเร่งยกระดับขีดความสามารถของบุคลากรไทย รองรับคลื่นการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่
ทั้งนี้ ส่งผลให้คำขอกลุ่มผู้ที่มีความมั่งคั่งสูงเพิ่มขึ้นเท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ช่วยเพิ่มการลงทุนในประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนกลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ และผู้เกษียณอายุยังเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่มผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานจากประเทศไทยให้กับนายจ้างในต่างประเทศชะลอตัวลงตามเทรนด์ของโลกหลังโควิดที่สถานการณ์การทำงานเข้าสู่ภาวะปกติ
นายนฤตม์ กล่าวว่า ท่ามกลางความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงของโลกการค้ายุคใหม่ ประเทศไทยยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุนและกลุ่ม Talent จากทั่วโลก ที่เข้ามาขอรับสิทธิตามมาตรการ LTR Visa เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลังจากปรับหลักเกณฑ์ใหม่ให้ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุดมากขึ้น มาตรการ LTR Visa เข้ามาช่วยเพิ่มจุดแข็งของไทยในการเป็นจุดหมายปลายทางของนักลงทุนและบุคลากรคุณภาพสูงจากทั่วโลก
อีกทั้งการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากบุคลากรต่างชาติเหล่านี้ จะช่วยยกระดับขีดความสามารถของบุคลากรไทยให้สามารถรองรับอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่กำลังเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ดาต้าเซนเตอร์และเทคโนโลยี AI ยานยนต์ไฟฟ้า เทคโนโลยีชีวภาพ ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ ช่วยให้เกิดเม็ดเงินลงทุนและสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทย
นอกจากนี้ บีโอไอมีแผนยกระดับ LTR Visa เพื่อให้บริการแบบครบวงจร (End-to-End Service) โดยเชื่อมต่อกับระบบอิเล็กทรอนิกส์ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ระบบ e-Visa ระบบออกใบอนุญาตทำงานอิเล็กทรอนิกส์ของกรมจัดหางาน และสามารถจ่ายเงินในรูปแบบ e-Payment ได้ด้วย การเชื่อมต่อกับระบบงานของกรมสรรพากรสำหรับผู้ที่ต้องการใช้สิทธิประโยชน์ด้านภาษี ตลอดจนการเชื่อมต่อกับบริษัทตัวแทนที่ได้รับการรับรองจากบีโอไอในการให้บริการวีซ่า
ทั้งนี้ เมื่อเดือนมี.ค. 68 ที่ผ่านมา บีโอไอได้เปิดให้บริการ “ศูนย์บริการนักลงทุนและบุคลากรต่างชาติ (Thailand Investment and Expat Services Center: TIESC)” แห่งใหม่ บนชั้น 6 และ ชั้น 7 ของโครงการ One Bangkok โซน PARADE ถนนพระราม 4 กรุงเทพฯ เพื่อรองรับนักธุรกิจและนักลงทุนที่เข้ามาใช้บริการมากขึ้น โดยรวมบริการของศูนย์ประสานการบริการด้านการลงทุน (One Start One Stop Investment Center: OSOS) และศูนย์บริการวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน (One Stop Service for Visa and Work Permit) ทั้งกลุ่มต่างชาติที่เข้ามาทำงานภายใต้กิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน (BOI Visa) วีซ่าระยะยาว (LTR Visa) และ Smart Visa สำหรับสตาร์ตอัปมาไว้ ณ จุดเดียว เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนอย่างครบวงจร
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 ก.ย. 68)