
นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ (แม่ทองสุก) กล่าวถึงกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลังเตรียมเก็บภาษีที่เกิดจากการส่งออกทองคำ เพื่อแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่าว่า เรื่องนี้น่าจะเป็นเพียงแนวความคิดที่จะแก้ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเงินบาทแข็งค่าเท่านั้น โดยที่ยังไม่มีการพิจารณาในรายละเอียด และไม่น่าจะเป็นแนวคิดที่ถูกต้อง
“เรื่องนี้ไม่ใช่ไอเดียที่ถูกต้อง จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมในภาพรวมเหมือนตอนที่คิดจะเก็บภาษีจากการซื้อขายหุ้น ขณะที่ทั่วโลกเลิกทำกันแล้ว เราจะกลับไปสู่ยุคหิน จะทำลายระบบ” นพ.กฤชรัตน์ กล่าว
ทั้งนี้ ตนได้เสนอให้ ธปท.เร่งเพิ่มประสิทธิภาพการเคลียร์ริ่งธุรกรรมระหว่างธนาคาร ซึ่งน่าจะช่วยลดผลกระทบเรื่องปัญหาค่าเงินได้มากกว่า และการส่งออกทองคำไปกัมพูชาก็มีปริมาณมากมานานแล้ว ขณะที่การทำธุรกรรมบนโต๊ะเป็นไปอย่างเปิดเผย ไม่มีการปิดบังซ่อนเร้น
“การดูแลค่าเงินบาทต้องไปหาขั้นตอนและวิธีการควบคุมที่ถูกต้อง เพราะบริบททางสังคมเปลี่ยนแปลงไปจากในอดีต จะไม่ให้ใช้ระบบดิจิทัลก็คงไม่ได้ ซึ่งแบงก์ชาติก็ต้องไปหาสูตรที่สมดุลกับสถานการณ์ แต่จะเป็นอย่างไรไม่อาจไปก้าวล่วง” นพ.กฤชรัตน์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม หาก ธปท.ยังไม่ล้มเลิกแนวคิดเรื่องนี้ก็คิดว่าคงจะต้องมีการหารือกันอีกหลายรอบ
นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า การเก็บภาษีที่เกิดจากการส่งออกทองคำ เพื่อแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่านั้นยังเป็นเพียงแนวความคิดเท่านั้น หากจะดำเนินการจะต้องมีข้อมูลและศึกษาผลกระทบให้ครบถ้วนก่อน โดยเมื่อวานนี้ผู้ค้าทองคำได้นำเสนอข้อมูลทั้งหมดให้กับ ธปท.ไปแล้ว และพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับภาครัฐ
“เนื่องจากทองคำถือเป็นเงินตรา ไม่ใช่สินค้า ทั่วโลกไม่มีใครเก็บภาษีกันแล้ว หากจะเก็บภาษีคงเป็นไปไม่ได้ ถ้าทำอย่างนั้นเราก็จะย้อนหลังกลับไป ที่เราตั้งเป้าหมายจะเป็นศูนย์กลางการค้าทองค้าในภูมิภาคก็จะล่มสลาย ทั้งที่นานาชาติให้การยอมรับว่าเรามีระบบการบริหารจัดการเป็นผู้นำในเอเชีย” นายจิตต กล่าว
โดยต้นเหตุที่ทำให้เงินบาทแข็งค่านั้น ทาง ธปท.ย่อมรู้ดี หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็มีตัวเลขการส่งออกและนำเข้าทองคำ การส่งออกไปกัมพูชาก็มีมานานแล้ว หากกรณีดังกล่าวเกี่ยวข้องกับขบวนการฟอกเงินจริงตามที่มีข่าวก็ต้องเป็นเรื่องใต้ดินที่ไม่สามารถรับรู้ตัวเลขได้เลย
นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า เงินบาทที่แข็งค่านั้นมาจากเงินดอลลาร์อ่อนค่าเช่นเดียวกับค่าเงินสกุลอื่น ๆ เนื่องจากตลาดไม่เชื่อถือต่อการดำเนินนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีการสร้างหนี้เพิ่มมากขึ้น ทำให้เงินดอลลาร์ด้อยค่าลง ธนาคารกลางทั่วโลกจึงหันมาถือครองทองคำแทนดอลลาร์กันมากขึ้น เพราะเห็นว่าดอลลาร์เป็นเพียงแค่กระดาษที่สั่งพิมพ์ขึ้นโดยสหรัฐฯ ไม่ได้นำทองคำมาค้ำประกันเหมือนเงินสกุลอื่นๆ ซึ่งส่งผลให้ราคาทองคำในปีนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 30-40% ขยายตัวในอัตราสูงกว่าที่ผ่านมาที่ระดับ 20%
สำหรับทิศทางของราคาทองในตลาดโลกคาดว่ายังมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยมีปัจจัยจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เตรียมปรับลดอัตราดอกเบี้ย นอกเหนือจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคต่างๆ และปีนี้มองเป้าหมายราคาทองคำไว้ที่ 3,800 ดอลลาร์/ออนซ์
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 ก.ย. 68)