สรรพสามิต มั่นใจปีงบ 68 จัดเก็บรายได้ตามเป้า 5.3 แสนลบ. หนุนภาษีรถโบราณเพิ่มยอด 1-2 พันลบ.

น.ส.กุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยถึงผลการจัดเก็บรายได้ภาษีสรรพสามิต ในช่วง 11 เดือนแรก (ต.ค.67- ส.ค.68) ของปีงบประมาณ 2568 ว่า จัดเก็บได้ 489,564 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 1.61% ซึ่งถือเป็นระดับที่น่าพอใจ และคาดว่าการจัดเก็บรายได้ภาษีสรรพสามิตของทั้งปีงบประมาณ 2568 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่กระทรวงการคลังกำหนดไว้ที่ 535,000 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 2.17% ขณะที่เป้าหมายการจัดเก็บรายได้ภาษีสรรพสามิตในปีงบประมาณ 2569 ตั้งไว้ที่ 609,000 ล้านบาท

อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า ในช่วงปีงบประมาณ 2568 ที่ผ่านมา แม้กรมสรรพสามิต ต้องเผชิญความท้าทายหลายด้าน ทั้งเป้าหมายการจัดเก็บภาษีของรัฐบาลที่เพิ่มสูงขึ้น (Revenue Pressure) สถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และนโยบายการค้าระหว่างประเทศแนวโน้มการชะลอตัวของการบริโภคในประเทศที่ลดลง ข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อของผู้บริโภคจากปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาเน้นดูแลสุขภาพ และสนับสนุนสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาคอุตสาหกรรมของประเทศที่เพื่อให้แข่งขันในตลาดโลกได้ก็ตาม แต่กรมสรรพสามิต ยังสามารถขับเคลื่อนการดำเนินงานตามภารกิจต่าง ๆ ภายใต้ยุทธศาสตร์ SMART Excise ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้

1. S: Sustainability มุ่งเน้นความยั่งยืน โดยเป็นเรื่องที่กรมสรรพสามิตให้ความสำคัญ และจะยังคงมุ่งเน้นการดำเนินงานต่อเนื่อง ทั้งความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยผลสำเร็จที่สำคัญปีนี้ ได้แก่

1.1 ด้านสิ่งแวดล้อม คือ การสร้างกลไกราคาคาร์บอนในภาษีน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน เพื่อขับเคลื่อนประเทศไปสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี ค.ศ. 2065 ซึ่งได้มีการออกกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษี เพื่อแสดงกลไกราคาคาร์บอนในสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน และออกประกาศกรมสรรพสามิต เพื่อกำหนดราคาคาร์บอน 200 บาท/ตันคาร์บอน เพื่อสร้างความตระหนักให้กับผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรม ให้เริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการบริโภคเชื้อเพลิงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

1.2 ด้านเศรษฐกิจ ดำเนินมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ (มาตรการ EV 3) และมาตรการสนับสนุนการใช้ ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ระยะที่ 2 (มาตรการ EV 3.5) ตามนโยบายรัฐบาล เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิต และการใช้ยานยนต์แห่งอนาคต ส่งผลให้ตั้งแต่มีการเริ่มมาตรการเมื่อเดือนมี.ค.65 จนถึง ส.ค.68 มียอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า 233,802คัน และรถยนต์จักรยานยนต์ไฟฟ้า 71,667 คัน

นอกจากนี้ ยังได้ขยายเวลาการลดอัตราภาษีสถานบริการเพื่อกระตุ้นภาคท่องเที่ยว โดยลดจาก 10% เหลือ 5% จากเดิมที่สิ้นสุดเมื่อ 31 ธ.ค.67 ได้ขยายต่อไปถึง 31 ธ.ค.68 ส่งผลทำให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบสรรพสามิตเพิ่มขึ้น และสามารถจัดเก็บรายได้ภาษีสถานบริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด ช่วง 11 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 จัดเก็บได้เกือบ 200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2567 ซึ่งเป็นปีแรกที่เริ่มลดอัตราภาษี ซึ่งสามารถจัดเก็บได้ 182 ล้านบาท เทียบกับปีงบประมาณ 2566 ซึ่งเป็นช่วงก่อนลดภาษี สามารถจัดเก็บได้ 139 ล้านบาท

การปรับโครงสร้างภาษีน้ำมันเพื่อเสถียรภาพทางการคลัง โดยปรับขึ้นภาษีกลุ่มน้ำมันเบนซิน และกลุ่มน้ำมันดีเซล 1 บาท/ลิตร โดยไม่กระทบต่อราคาขายปลีก เนื่องจากมีการปรับลดเงินนำส่งกองทุนน้ำมัน ส่งผลให้กรมจัดเก็บรายได้ภาษีน้ำมัน และผลิตภัณฑ์น้ำมัน เพิ่มขึ้น ประมาณ 2,800 ล้านบาท/เดือน

การกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์โบราณ (Classic Car) ขึ้นใหม่ โดยจัดเก็บภาษีในอัตรา 45% เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการจัดแสดงรถยนต์โบราณในภูมิภาค รวมทั้งส่งเสริมอุตสาหกรรมบูรณะรถยนต์โบราณ (Restoration) ในประเทศ และเป็นการขยายฐานรายได้ใหม่ในการจัดเก็บภาษีสินค้ารถยนต์ ซึ่งเบื้องต้น ประเมินว่าจะสามารถจัดเก็บรายได้จากภาษีรถยนต์โบราณได้ประมาณ 1,000-2,000 ล้านบาท

“ในส่วนนี้ จะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับรถยนต์โบราณ เช่น อุตสาหกรรมท่องเที่ยว จากการนำนักท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่ม ที่สนใจเรื่องรถโบราณ ให้เข้ามาท่องเที่ยวในไทยเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลมากขึ้นด้วย” น.ส.กุลยา ระบุ

1.3 ด้านสังคม กรมสรรพสามิต ได้ดำเนินนโยบายส่งเสริมสุราชุมชน เพื่อต่อยอดนโยบายการส่งเสริม Soft Power ของประเทศ โดยปรับปรุงกฎหมายและระเบียบต่างๆ เพื่อส่งเสริมผู้ผลิตสุราชุมชน ลดอุปสรรคต่อผู้ประกอบการรายใหม่ ส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม และสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจในระดับฐานราก ทำให้มีผู้ประกอบการในระบบ 1,824 ราย เพิ่มขึ้น 5% และจัดเก็บภาษีสุราชุมชนได้ 1,246 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8%

พร้อมทั้ง การปรับขึ้นอัตราภาษีเครื่องดื่มตามความหวาน ระยะที่ 4 โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.68 เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ภาคอุตสาหกรรมปรับสูตรการผลิต ส่งผลให้ปัจจุบันมีเครื่องดื่มที่ได้รับเครื่องหมายทางเลือกเพื่อสุขภาพ (Healthier Choice) จำนวน 3,411 ผลิตภัณฑ์

ส่วนภาษีความเค็มนั้น น.ส.กุลยา กล่าวว่า ขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างดำเนินการ โดยต้องมีกระบวนการหารือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่องอีกพอสมควร จึงคาดว่าจะยังไม่ได้เห็นการจัดเก็บภาษีดังกล่าวภายในปีนี้

2. M: Modernization พัฒนาการจัดเก็บภาษีให้ทันสมัย โดยเน้นการปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย พร้อมกับการทำ Digital Transformation โดยได้รับผลสำเร็จที่สำคัญได้แก่ อาทิ

2.1 การปรับกฎหมายและพัฒนาระบบอนุมัติฉลากดิจิทัลเต็มรูปแบบ (D-Label) เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมผลิตสุรา

2.2 การปรับกฎหมายและพัฒนาระบบใบอนุญาตอิเล็กทรอนิกส์ (D-License) แบบ End to End Service โดยสามารถยื่นเอกสาร ชำระค่าธรรมเนียม และได้รับใบอนุญาตอิเล็กทรอนิกส์เบ็ดเสร็จผ่าน Mobile Application เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ขอใบอนุญาตสุรา ยาสูบและไพ่ ซึ่งในปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 1 ล้านใบอนุญาต

2.3 การเพิ่มประสิทธิภาพการสำรวจราคา โดยใช้ระบบสำรวจราคาขายสินค้าประเภทสุรา เบียร์ ยาสูบ และ เครื่องดื่ม (Excise Price Survey) โดยกำหนดให้ผู้ประกอบขายสินค้าสุราและยาสูบที่ได้รับใบอนุญาตประเภทที่ 2 แจ้งราคาขายปลีกผ่านระบบสำรวจราคาขายปลีกสินค้าสรรพสามิต เพื่อให้ได้ข้อมูลการวิเคราะห์ความคลาดเคลื่อนของราคาขายปลีกจริงกับราคาขายปลีกแนะนำ โดยระบบนี้ได้นำมาทดแทนการสำรวจราคา โดยเจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิต

3. A: Accountability เสริมสร้างความรับผิดชอบ ความโปร่งใส และการกำกับดูแลที่ดี โดยกรมสรรพสามิต ได้พัฒนากลไกการปฏิบัติงานให้มีความทันสมัย และตอบสนองต่อสถานการณ์การกระทำผิดที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ผ่านการใช้ระบบเทคโนโลยีดิจิทัล และ Dashboard ในการติดตาม ตรวจสอบ และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่แบบเรียลไทม์ ส่งผลให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น

โดยมีผลสำเร็จที่สำคัญปีนี้ ได้แก่ การลงนาม MOU กับบริษัทขนส่งพัสดุเอกชน เช่น J&T และ KEX เพื่อยกระดับความร่วมมือในการปราบปรามการลักลอบขนส่งสินค้าหนีภาษี ผ่านช่องทางของบริษัทขนส่งพัสดุเอกชน ทั้งสินค้าสุรา ยาสูบ น้ำมัน และสินค้าอื่น ๆ โดยในช่วง 11 เดือนของปีงบประมาณ 2568 สามารถจับกุมและดำเนินคดีได้ทั้งสิ้น 33,766 คดี สามารถนำเงินส่งคลังได้เกือบ 500 ล้านบาท

4. R: Revenue Collection กรมสรรพสามิต สามารถจัดเก็บรายได้ภาษีสรรพสามิตในรอบ 11 เดือนของปีงบประมาณ 2568 ได้จำนวน 489,564 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 1.61% โดยคาดว่าในปีงบประมาณ 2568 จะสามารถเก็บภาษีได้ตามเป้าหมายที่กระทรวงการคลังกำหนด ที่จำนวน 535,000 ล้านบาท หรือสูงกว่าปีก่อน 2.17%

5. T: Technology and Innovation-Driven ยกระดับการทำงานด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม มีผลสำเร็จที่สำคัญปีนี้ได้แก่

5.1 จัดทำระบบควบคุมและติดตามการขนส่งสินค้าน้ำมันที่ส่งออกนอกราชอาณาจักรทางบก ด้วยอุปกรณ์ซีลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Seal)

5.2 จัดทำระบบตรวจสอบติดตามและแกะรอย (Track & Trace) สำหรับสินค้ายาสูบชนิดบุหรี่ซิกาแรตที่ผลิตและนำเข้า

น.ส.กุลยา กล่าวด้วยว่า ในส่วนของการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่นั้น ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียด ซึ่งต้องใช้ความรอบคอบเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อน โดยยอมรับว่าในหลายประเทศมีการจัดเก็บภาษีบุหรี่แบบอัตราเดียว (Single rate) ขณะที่ไทยจัดเก็บแบบ 2 อัตรา ซึ่งการศึกษาหรือพิจารณาเรื่องนี้จะต้องมองให้รอบด้าน โดยต้องคำนึงถึงในหลายมิติ ทั้งรายได้ การลักลอบนำเข้าบุหรี่ผิดกฎหมาย ผู้ประกอบการ และสุขภาพของประชาชนด้วย

“เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ในเวทีต่างประเทศ อัตราภาษีบุหรี่จะเป็นแบบ Single rate แต่ของเราเป็น 2 อัตรา ดังนั้นคงต้องดูว่าจะดำเนินการในทางไหน ซึ่งไทยมี stake holder หลายด้าน ต้องดูให้รอบคอบ ตอนนี้ยังอยู่ระหว่างศึกษา แต่ก็จะต้องคำนึงถึงรายได้ที่อาจจะลดลงด้วย ตลอดจนการกำกับดูแล เช่น การลักลอบนำเข้าบุหรี่ ซึ่งเราต้องดูทุกมิติ รวมถึงผู้ประกอบการในประเทศด้วย” น.ส.กุลยา ระบุ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (22 ก.ย. 68)