
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยจำนวนการผลิต ยอดขายภายในประเทศ และการส่งออกรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของประเทศ ในเดือนสิงหาคม 2568
- ยอดผลิตรถยนต์ 112,366 คัน ลดลง 6.11% ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 7,512 คัน เพิ่มขึ้น 2,034.09%
- ยอดขาย 47,622 คัน เพิ่มขึ้น 5.38% ขายรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) 9,309 คัน เพิ่มขึ้น 27.49%
- ยอดส่งออก 71,179 คัน ลดลง 17.30% ส่งออกรถยนต์นั่งไฟฟ้า 1,372 คัน เพิ่มขึ้น 100% ส่งออกรถกระบะไฟฟ้า 51 คัน เพิ่มขึ้น 100%
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท. เปิดเผยว่า ยอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปในเดือน ส.ค.68 อยู่ที่ 71,179 คัน ลดลงจากเดือน ส.ค.ปีก่อน 17.30% เนื่องจากการส่งออกรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป (ICE) ลดลง จากความเข้มงวดในการปล่อยก๊าซคาร์บอนของบางประเทศ โดยมีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 67,917.28 ลดลง 18.07%
ทั้งนี้ส่งผลให้ช่วง 8 เดือนแรกของปี 68 (ม.ค.-ส.ค.) มียอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปรวม 602,975 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 12.44% โดยมีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 581,307.35 ลดลง 10.58%
ยอดผลิตรถไฟฟ้ามาทดแทนเครื่องยนต์สันดาป
จำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือน ส.ค.68 มีทั้งสิ้น 112,366 คัน เพิ่มขึ้น 1.58% จากเดือน ก.ค.68 แต่ลดลง 6.11% จากเดือน ส.ค.67 จากการผลิตเพื่อส่งออกที่ลดลง 10.67% จากเดือน ส.ค.67 เพราะผลิตรถยนต์นั่งลดลง 21.27% จากการเลิกผลิตรถยนต์นั่งบางรุ่นเพราะความเข้มงวดในการติดตั้งอุปกรณ์ช่วยขับในด้านความปลอดภัยของประเทศคู่ค้า รวมทั้งผลิตรถกระบะส่งออกลดลง 6.36% จากการเข้มงวดในการปล่อยคาร์บอนของประเทศคู่ค้า ส่วนการผลิตเพื่อขายในประเทศเพิ่มขึ้น 4.11% จากการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชดเชยรถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้ามาขายในปี 2565-2566 ส่งผลให้รถยนต์ที่ผลิตได้ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้มีจำนวนทั้งสิ้น 947,697 คัน ลดลง 5.77% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
- รถยนต์ไฟฟ้าช่วยดึงยอดขายในประเทศกระเตื้อง
“ยอดผลิตติดลบจากการยกเลิกผลิตรถอีโคคาร์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป แต่เริ่มฟื้นตัวในช่วงไตรมาสสองจากการผลิตรถกระบะไฟฟ้าเพื่อส่งออกเป็นครั้งแรก” นายสุรพงษ์ กล่าว
ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือน ส.ค.68 มีจำนวนทั้งสิ้น 47,622 คัน ลดลง 3.01% จากเดือน ก.ค.68 แต่เพิ่มขึ้น 5.38% จากเดือน ส.ค.67 จากการขายรถยนต์นั่งไฟฟ้าที่มีถึง 9,246 คัน เพิ่มขึ้น 26.62% จากปีที่แล้ว ขณะที่รถกระบะขายได้ 10,960 คัน ลดลง 10.92% รถกระบะยังคงขายลดลงต่อเนื่องกว่าสองปีจากการเข้มงวดการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินเพราะเศรษฐกิจขยายตัวในอัตราต่ำ หลักฐานการเงินของผู้ซื้ออ่อนแอ ส่งผลให้ช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้มียอดขาย 399,619 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 แค่ 8 คันจากการขายรถยนต์นั่งไฟฟ้า
“ยอดขายในประเทศ 8 เดือนไม่ติดลบแล้ว คาดว่าเดือนหน้าจะเป็นบวกจากยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตต่อเนื่อง ไม่ได้ชะลอตัวลงอย่างที่มีข่าว” นายสุรพงษ์ กล่าว
ยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าป้ายแดง
- ประเภท BEV มีจดทะเบียนใหม่จำนวน 11,486 คัน เพิ่มขึ้น 30.46% จากเดือน ส.ค.67 ส่งผลให้ช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้มีจดทะเบียนใหม่สะสมจำนวน 92,665 คัน เพิ่มขึ้น 34.49% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และนับถึงวันที่ 31 ส.ค.68 มียอดจดทะเบียนสะสมจำนวนทั้งสิ้น 318,574 คัน เพิ่มขึ้น 59.20% จากปีที่แล้ว
- ประเภท HEV มีจดทะเบียนใหม่จำนวน 10,575 คัน ลดลง 3.86% จากเดือน ส.ค.67 ส่งผลให้ช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้มีจดทะเบียนใหม่สะสมจำนวน 94,703 คัน ลดลง 0.10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และนับถึงวันที่ 31 ส.ค.68 มียอดจดทะเบียนสะสมจำนวนทั้งสิ้น 562,894 คัน เพิ่มขึ้น 28.66% จากปีที่แล้ว
- ประเภท PHEV มีจดทะเบียนใหม่จำนวน 1,049 คัน เพิ่มขึ้น 22.83% จากเดือน ส.ค.67 ส่งผลให้ช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้มีจดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน 13,681 คัน เพิ่มขึ้น 108.04% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และนับถึงวันที่ 31 ส.ค.68 มียอดจดทะเบียนสะสมจำนวนทั้งสิ้น 76,720 คัน เพิ่มขึ้น 26.96% จากปีที่แล้ว
เสนอรัฐตั้งกองทุนค้ำประกันสินเชื่อรถกระบะ หวังรัฐได้มากกว่าเสีย
โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ฯ กล่าวว่า จากการที่รัฐบาลใหม่ได้แสดงความตั้งใจที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตมากขึ้น โดยรัฐบาลจะเก็บภาษีได้มากกว่าเงินที่จะจ่าย และอาจจะไม่ต้องจ่ายถ้าเศรษฐกิจดีวันดีคืน ข้อเสนอนี้เป็นของ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.) เมื่อปีที่แล้วที่เสนอรัฐบาลตั้งกองทุน 5 พันล้านบาทเพื่อค้ำประกันผลขาดทุนจากการยึดรถกระบะแล้วขายขาดทุน โดยจ่ายผลขาดทุนตามจริงแต่ไม่เกินคันละห้าหมื่นบาทให้กับสถาบันการเงินโดยมีข้อแลกเปลี่ยนหรือเงื่อนใขว่า สถาบันการเงินต้องปล่อยกู้ให้มียอดขายรถกระบะมากขึ้นจากปีที่ผ่านมาอย่างน้อย 30%
ตัวอย่างสมมติปีที่แล้วขายรถกระบะ 130,000 คัน ถ้าขายมากกว่าปีที่แล้วอย่างน้อย 30% ปีนี้ต้องปล่อยสินเชื่อให้ขายรถกระบะให้ได้ 170,000 คัน ที่เพิ่มขึ้น 40,000 คันนี้ รัฐบาลจะค้ำประกันผลขาดทุนจากการยึดรถคันละไม่เกินห้าหมื่นบาท จึงตั้งกองทุนค้ำประกันผลขาดทุนจากรถยึดรถกระบะเพียง 2,000 ล้านบาท (40,000 คัน x 50,000 บาท/คัน) แต่รัฐบาลเก็บภาษีสรรพสามิตรถกระบะ 3% x 24,000 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 720 ล้านบาท (ถ้าเฉลี่ยรถกระบะคันละ 600,000 บาท x 40,000 คันที่เพิ่มขึ้น) เก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%ของยอด 24,000 ล้านบาท ได้เงิน 1,680 ล้านบาท รวมเก็บภาษีสองประเภทนี้เพิ่มขึ้น 2,400 ล้านบาท มากกว่าเงินกองทุน 2,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ซัพพลายเชนขายได้มากขึ้น กำไรสุทธิมากขึ้น เช่น บริษัทผลิตยางล้อรถยนต์ขายยางล้อได้มากขึ้น 160,000 เส้น กระจกขายได้มากขึ้น 40,000 แผ่น เครื่องปรับอากาศรถยนต์ขายมากขึ้น 40,000 เครื่อง บริษัทขายท่อไอเสียมากขึ้น 40,000 ชิ้นฯลฯ และยังเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มขึ้นจากรายได้พนักงานสถาบันการเงิน บริษัทประกันภัยและพนักงานขายรถกระบะรวมทั้งคนงานทำงานในบริษัทซัพพลายเชนที่มีรายได้เพื่มขึ้น ทำให้กลุ่มบริษัทลงทุนเพิ่ม จ้างงานเพิ่ม คนงานเหล่านี้มีรายได้มากขึ้นชำระหนี้ได้มากขึ้น(หนี้ครัวเรือนลดลงอย่างแท้จริง) ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคมากขึ้น ทานอาหารมากขึ้น เดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น ทำให้เศรษฐกิจเติบโตมากขึ้น สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนต่างประเทศและในประเทศลงทุนมากขึ้นและเร็วขึ้น ผลิตสินค้าส่งออกมากขึ้น เศรษฐกิจของประเทศไทยจะได้เติบโตเป็นวงจรขาขึ้นในอัตราที่สูงขึ้นเสียที ส่วนเงินกองทุน 2,000 หรือ 5,000 ล้านบาทขึ้นกับเป้าหมายที่จะให้ขายรถกระบะเพิ่มขึ้นกี่หมื่นคันในแต่ละปี ซึ่งรัฐบาลจะจ่ายในอีกสองปีข้างหน้าเมื่อยึดรถกระบะมาแล้วและประมูลขายขาดทุนแล้วเท่านั้น
“นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่มีข่าวออกมาดีมาก ๆ เพราะจะช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยมีรายได้ แต่ต้องรอดูว่าจะมีการอนุมัติวงเงินเท่าไหร่” นายสุรพงษ์ กล่าว
นอกจากนี้ตนยังสนับสนุนเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อลดภาระให้กับผู้บริโภค ซึ่งได้ข่าวว่าผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่มีแนวคิดที่จะมีมาตรการให้สามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายขึ้น เมื่อประชาชนมีราคาได้ก็จะมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น ปัญหาหนี้ครัวเรือนก็จะคลี่คลายลงอย่างแท้จริง ถึงแม้จีดีพีจะขยายตัวในอัตราที่ต่ำเพียง 1-2%
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 ก.ย. 68)