IAA คาดดอกเบี้ยไทย-สหรัฐลดส่งแรงหนุน SET Index ปิดสิ้นปี 1,313 จุด EPS เฉลี่ย 85.14 บาท

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน รวม 27 สำนัก เกี่ยวกับมุมมองการลงทุน ผลสำรวจคาดการณ์ SET Index ไตรมาส 4/68 จะแกว่งตัวในกรอบ 1,234 ถึง 1,356 จุด โดยไปปิดสิ้นปี 2568 ที่ 1,313 จุด และสิ้นปี 2569 อยู่ที่ 1,415 จุด

สมมติฐานหลัก

– ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยของปีนี้ 68.67 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

– คาดการณ์ การขยายตัวของ GDP ไทยปี 2568 จากเดิมที่ 1.87% (ต.ค.68) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.03%

– สมมติฐาน GDP ปี 68 คาดว่าต่ำสุดที่ 1.4% และสูงสุดที่ 2.8% โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1.9%

– Risk Free Rate ที่ใช้ในการประเมินมูลค่า มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1.99%

– Risk Premium ของตลาดหุ้น เฉลี่ยอยู่ที่ 8.43%

สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อทิศทางการลงทุนจนถึงสิ้นปี 2568 แบ่งเป็น

ปัจจัยบวก นำโดย ทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศ ผู้ตอบแบบสำรวจ 100% เทคะแนนให้อย่างชัดเจนว่าเป็นผลบวก และรองลงมาผู้ตอบ 92.59% โหวตให้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอเมริกา ตามมาด้วยปัจจัยด้านการเมืองในประเทศ ผู้ตอบ 81.48 ตามลำดับ

ส่วนปัจจัยลบ คือ ปัจจัยด้านการเมืองต่างประเทศ มีผู้ตอบ 55.56% ของผู้ตอบทั้งหมด รองลงมาผู้ตอบ 51.85% เท่ากันโหวตให้ การลดหรือยุติมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของประเทศสำคัญทั่วโลก และปัจจัยด้านเศรษฐกิจโลก ส่วนปัจจัยที่เหลือมีผลโหวตต่ำกว่า 50% ของจำนวนผู้โหวต

ด้านคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. ณ สิ้นปี 2568 มีนักวิเคราะห์ถึง 68% ที่คาดว่าลดลงจากเดิมมาอยู่ที่ 1.25% รองลงมามี 28% ของผู้ตอบ มองว่าอาจลดลงมาที่ 1.00% และมีผู้ตอบเพียง 4% มองว่าคงที่ที่ 1.50% (ณ ปัจจุบัน 30 กันยายน อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.50%)

ทางด้านคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2568 ของตลาดเฉลี่ยได้ที่ 85.14 บาท ใกล้เคียงกับผลสำรวจครั้งก่อน ซึ่งอยู่ที่ 85.43 บาท ต่อหุ้น และคาดว่า EPS Growth ของปี 2568 เฉลี่ยอยู่ที่ 9.27% ทั้งยังคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2569 ของตลาดเฉลี่ยไว้ที่ 90.67 บาท

นักวิเคราะห์แนะนำให้มีการกระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น เงินสดและเงินฝากระยะสั้น 8.48% กองทุนตราสารหนี้ 20.89% หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 26.63% หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 26.59% ทองคำหรือกองทุนทองคำ 9.17% กองทุนอสังหาฯหรือ REIT 7.50% สินทรัพย์อื่นๆ เช่น Bitcoin/ตราสารหนี้ระยะสั้น 0.74%

โดยความเห็นต่อการลงทุนหุ้นต่างประเทศ/กองทุนหุ้นต่างประเทศ แนะนำกองทุนตราสารหนี้โลก/ตั๋วเงินคลังสหรัฐ หรือกลุ่ม AI-Technology และ Selective Asia เช่น จีน ฮ่องกง อินเดีย ญี่ปุ่น ทั้งนี้มีหลักทรัพย์ที่เกี่ยวกับการลงทุนต่างประเทศและทองคำ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (DR DRx) ที่แนะนำตรงกันตั้งแต่ 6 สำนักขึ้นไป มีดังนี้(เรียงชื่อตามอักษรย่อ) ได้แก่ BABA80 GOLD19 MSFT80 XIAOMI80

สำหรับในการลงทุนหุ้นไทยนั้น แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหมวดค้าปลีก ไฟแนนซ์ โรงไฟฟ้า ธุรกิจท่องเที่ยว และการแพทย์ ในขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน หมวดธุรกิจส่งออก และปิโตรเคมี

รายชื่อหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 4 สำนักขึ้นไป มีดังนี้(เรียงชื่อตามอักษรย่อ)

1. ADVANC แนวโน้มผลประกอบการเติบโต YoY ทุกไตรมาส จากการแข่งขันที่ลดลง และการบริหารต้นทุนได้ดีขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่การเข้ามาของ Data Center ขนาดใหญ่ และ Virtual Bank จะเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตในระยะยาว

2. CPALL ได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ได้ SET ESG Rating AAA

3. CPAXT การเติบโตของกำไรได้แรงหนุนจาก synergies ระหว่าง Makro และ Lotus’s ช่วยลดต้นทุนที่ซ้ำซ้อน และทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาดมากขึ้น

4. MTC มองว่าสินเชื่อโตเด่นกว่ากลุ่มมาก และน่าจะเร่งตัวขึ้นใน 2H68 จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเข้าสู่ High season

5. PTTEP มองว่าปริมาณผลิตเพิ่มต่อเนื่อง ปันผลสูง

สำหรับหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ หุ้นบางบริษัทในหมวดอิเล็กทรอนิกส์ที่ราคาเกินพื้นฐาน และหุ้นกลุ่มธนาคาร จากส่วนต่างดอกเบี้ยโดนกดดัน

ท้ายที่สุด นักวิเคราะห์ยังได้เพิ่มเติมการแนะนำไปยังรัฐบาลเกี่ยวกับนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ มีความคุ้มค่ากับงบประมาณ โดยกล่าวถึงมาตรการทั้งในระยะสั้นและยาว แยกเป็นเสนอด้านการช่วยเหลือภาคธุรกิจ ได้แก่ 1.มาตรการกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน การปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ ออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว เน้นการเติบโตของกำไร บจ.ผ่านสิทธิประโยชน์ Jump+ 2.เสนอให้เร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั้งด้านรถไฟฟ้า Data Center เน้นการลงทุนภาครัฐที่หนุนศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ พัฒนาอุตสาหกรรม New S-Curve และเทคโนโลยี และ 3.เสนอนโยบายช่วยเหลือภาคประชนได้แก่ มาตรการลดหย่อนภาษี กระตุ้นการบริโภคผ่านโครงการช้อปดีมีคืน สนับสนุนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อยกระดับแรงงานไปสู่การเป็น Skill Labor

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 ต.ค. 68)