
เป็นข่าวลั่นดังไปทั้งโลกเมื่อรัฐบาลสหรัฐร่วมมือกับสหราชอาณาจักร จับกุมตัวการ scammer รายใหญ่ พร้อมยึดบิทคอยน์มูลค่าเกือบ 500,000 ล้านบาท นับเป็นการยึดบิทคอยน์ที่มีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ในส่วนของผู้ต้องหา นาย Chen Zhi คนจีน สัญชาติกัมพูชา หรือที่รู้จักในนาม “Vincent” ที่ปรึกษาใกล้ชิดของอดีตนายกรัฐมนตรีฮุน เซน ประเทศที่มีชื่อเสียงโด่งดังด้าน scammer หรือคราวนี้จะเป็นคราวเคราะห์ของกัมพูชาจริง ๆ
ยึดบิทคอยน์กว่า 5 แสนล้าน!! สหรัฐถล่มเครือข่าย “หมูถูกเชือด” ในกัมพูชา-ที่ปรึกษาฮุนเซนเอี่ยวเต็ม ๆ
เปิดด้วยข่าวสะเทือนทั้งโลก เมื่อกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐ หรือ Department of Justice (DOJ) ได้ออกมาแถลงว่าได้ “อายัด Bitcoin มูลค่ากว่า 15,000 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 490,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็น “การยึดทรัพย์สินคริปโทฯ ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์” ของ DOJ!!
โดยผู้ที่ถูกกล่าวหาคือ Chen Zhi หรือที่รู้จักกันในชื่อ “วินเซนต์” นักธุรกิจเชื้อสายจีนวัย 38 ปี ประธานกลุ่มทุนใหญ่ของกัมพูชาอย่าง Prince Holding Group ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีธุรกิจตั้งแต่ธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ ไปจนถึงโรงแรมและคาสิโน และยังมีสถานะเป็น “ที่ปรึกษาใกล้ชิดของอดีตนายกรัฐมนตรี ฮุน เซน” อีกด้วย
แต่เรื่องนี้ไม่ใช่คดีธรรมดา…เพราะ DOJ ระบุว่าเบื้องหลังของเครือข่ายนี้คือ “Pig Butchering Scam” หรือที่เราเรียกกันว่า “แก๊งหมูถูกเชือด” – เป็นการหลอกลงทุนคริปโทฯ ที่ใช้วิธี “เลี้ยงเหยื่อให้อ้วนก่อน แล้วค่อยเชือด” โดยเริ่มจากการพูดคุย ทำความรู้จัก เหมือนจีบกันบนโซเชียลก่อน แล้วค่อย ๆ ชวนไปลงทุนในแพลตฟอร์มคริปโทฯ ปลอม พอเหยื่อเริ่มโอนเงินเข้าไป ก็ถอนออกไม่ได้อีกเลย
ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ รายงานของกระทรวงการคลังสหรัฐ บอกว่า มีการตั้ง “คอมพาวด์” หรือศูนย์ปฏิบัติการอยู่ในกัมพูชา โดยบังคับแรงงานจำนวนมากให้ทำหน้าที่แชตหลอกเหยื่อ มีทั้งการข่มขู่ ทำร้ายร่างกาย และกักขังไม่ให้ออกไปไหน เรียกได้ว่าเป็น “อาณาจักรหลอกลวงคริปโทฯ” ขนาดย่อมเลยทีเดียว
ทางฝั่งสหรัฐได้ร่วมมือกับฝั่ง UK ใช้เวลาสืบสวนหลายเดือนจนตามรอยเจอเส้นทางเงิน และสามารถอายัดบิทคอยน์ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดได้สำเร็จ ส่วนด้าน “วินเซนต์” ตอนนี้ก็ถูกตั้งข้อหาฉ้อโกง, ฟอกเงิน และละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งถ้าถูกตัดสินจริง โทษสูงสุดอาจถึงจำคุกหลาย 10 ปี
ขณะเดียวกันฝั่งกัมพูชาก็เกิดเรื่องซ้ำเติมอีก เพราะธนาคารใหญ่ในเครืออย่าง Prince Bank Plc. ซึ่งคาดว่าเป็น 1 ในธุรกิจของคุณวินเซนต์ ตอนแรกก็ประกาศว่าระบบโอนเงินออนไลน์ล่มทั่วประเทศ ทำให้ผู้ใช้งานถอนหรือโอนเงินไม่ได้เลยทั้งวัน แม้ทางธนาคารจะออกมาบอกว่า “เป็นเพียงเหตุขัดข้องทางเทคนิค” แต่ประชาชนจำนวนมากก็ตั้งคำถามว่า มันจะบังเอิญไปหน่อยไหมที่ระบบล่ม “พร้อมกับวันที่ DOJ อายัดบิทคอยน์” แถมเช้านี้ พบว่าเพจเฟซบุ๊ก หายไปแล้ว แต่เว็บไซด์ธนาคาร ยังคงอยู่ เรื่องนี้เลยกลายเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ทั่วเอเชียเลย
ไปต่อไม่รอแล้วนะ!! ราคาทองคำต่อออนซ์ แซงหน้าราคา Ethereum ไปแล้ว!!
เวลาเราพูดถึงบิทคอยน์ เราก็มักจะนึกถึงทองคำในรูปแบบดิจิทัล และก็คงไม่มีใครคาดคิดว่าราคาทองคำจะพุ่งแซงคริปโทฯตัวหลักอย่าง Ethereum ได้ มันเกิดขึ้นแล้ว!! เพราะปีนี้ ราคาทองคำเขาทำได้ดีจริง ๆ ล่าสุดมีการทำสถิติใหม่ 4,200 ดอลลาร์/ออนซ์ ในขณะที่ Ethereum ทำ sideway อยู่ที่ประมาณ 3,900-4,100 ดอลลาร์
ซึ่งถ้าเทียบในรอบปี ราคาทองคำพุ่งมาแล้วกว่า 60% ในขณะที่ Ethereum ขึ้นมา 25% และบิทคอยน์ที่ขึ้นมา 30% เรียกว่าทองคำยืนหนึ่ง!! ต้องยกนิ้วให้จริง ๆ
นักวิเคราะห์มีการออกมาให้ความคิดเห็นว่าสาเหตุที่ราคาทองคำมันพุ่งขนาดนี้ ไม่ได้มาจากคุณค่าของมันโดยตรง แต่มาจากความกลัว ในการลงทุนกับพันธบัตร หุ้น หรือแม้แต่ตัวคริปโทฯเอง นักลงทุนที่เลือกลงทุนสินทรัพย์ใด ดูกันดี ๆ
อย่างจึ้ง!! ภูฏานย้ายระบบข้อมูลบัตรประชนชนทั้งประเทศ เข้าสู่เครือข่าย Ethereum แล้ว!!
ปิดท้ายด้วยข่าวเทคโนโลยีสุดล้ำจาก “ภูฏาน” ประเทศเล็กๆในเทือกเขาหิมาลัย ที่ประกาศโครงการระดับชาติ “Digital Bhutan” โดยจะย้ายระบบจัดเก็บข้อมูลประชาชนทั้งหมด รวมถึง “บัตรประชาชน” ไปอยู่บนเครือข่าย Ethereum ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2026 นี้
ทาง Miyaguchi ซึ่งเป็น 1 ในผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum Foundation ได้มีการโพสต์ผ่าน X ว่า “นี่คือก้าวที่สร้างแรงบันดาลใจอย่างลึกซึ้งเพราะเป็นครั้งแรกในโลกที่ประเทศหนึ่งนำระบบ Self-Sovereign ID ขึ้นบน Ethereum ได้สำเร็จ ถือเป็นก้าวสำคัญทั้งในระดับชาติและระดับโลก สู่อนาคตดิจิทัลที่เปิดกว้างและปลอดภัยยิ่งขึ้น”
ตัวระบบบัตรประชาชนดิจิทัลแบบกระจายศูนย์ หรือ (Self-Sovereign ID) เป็นหนึ่งในกรณีศึกษาที่ได้รับการจับตามองที่สุดของเทคโนโลยีบล็อกเชน เนื่องจากมีคุณสมบัติเรื่องความคงทนของข้อมูล (immutability), ความโปร่งใส (transparency) และความเป็นส่วนตัว (privacy) โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับเทคโนโลยี Zero-Knowledge Proof
และปัจจุบันมีเพียงไม่กี่ประเทศทั่วโลกเท่านั้นที่เริ่มผสานระบบ “บัตรประชาชนแบบ Self-Sovereign ID” บนบล็อกเชน เช่น บราซิล และเวียดนาม ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการทดลองใช้บางส่วน แต่ภูฏานนับเป็นประเทศแรกที่นำระบบนี้มาใช้จริงในระดับประเทศอย่างเต็มรูปแบบ
ภูฏานยังเป็นหนึ่งในประเทศที่ถือ บิทคอยน์มากที่สุดในโลก ปัจจุบันครองอันดับ 5 ด้วยจำนวน 11,286 BTC มูลค่ารวมกว่า 1.31 พันล้านดอลลาร์ จากการขุดด้วยพลังงานสะอาดจากเขื่อนพลังน้ำในเทือกเขาหิมาลัย ถือเป็นประเทศที่คิดก่อน ทำก่อน จริง ๆ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 ต.ค. 68)