
ช่วงเวลาที่ชาวจีนรอคอยที่สุดได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เมื่อวันชาติจีนมาบรรจบกับเทศกาลไหว้พระจันทร์ กลายเป็น “สัปดาห์ทอง” หรือ “Golden Week” ที่มีวันหยุดยาวติดต่อกันถึง 8 วัน (1-8 ตุลาคม) และหากใครลาเพิ่ม ก็จะได้หยุดจุใจถึง 12 วันเลยทีเดียว
ช่วงเวลานี้ของทุกปีจึงถือเป็นโอกาสทองสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวของชาวจีน โดยเฉพาะการไปเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งปีนี้ก็เช่นกัน รายงานจาก China Daily เผยว่า แนวโน้มการเดินทางไปต่างประเทศเติบโตในระดับเลขสามหลัก ด้วยยอดการจองพุ่งสูงกว่า 130% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการกลับมาของกระแส “Revenge Travel” หรือการเที่ยวล้างแค้น หลังจากถูกจำกัดการเดินทางมาหลายปีเพราะโควิด ประกอบกับต้องรัดเข็มขัดท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ฝืดเคือง ทำให้ชาวจีนจำนวนมากที่รู้สึกอัดอั้น เพราะช่วงวันหยุดที่ผ่านมาทำได้แค่เที่ยวในประเทศ ต่างตั้งตารอที่จะได้เดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกในรอบหลายปี
ขณะเดียวกัน ช่วงเวลานี้ไม่เพียงเป็นโอกาสทองของชาวจีนเท่านั้น หลายประเทศทั่วโลกต่างกำลังเปิดบ้านรอต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนเพื่อดึงดูดเม็ดเงินมหาศาล และนั่นทำให้ ประเทศไทย ซึ่งเคยเป็นตลาดใหญ่อันดับต้น ๆ สำหรับนักท่องเที่ยวจีน ต้องเผชิญกับความท้าทายมากยิ่งขึ้นในการช่วงชิงส่วนแบ่งตลาด ที่นอกจากเจอคู่แข่งในเอเชียรุกหนักแล้ว ยังต้องมาเจอกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวจีนที่เปลี่ยนไปอีกด้วย
โดยผลสำรวจเผยว่า นักท่องเที่ยวจีนในปีนี้ไม่ได้เดินทางแบบ “ตามรอยทัวร์” อีกต่อไป แต่มีการวางแผนอย่างชาญฉลาดมากขึ้น โดยให้ความสำคัญกับประสบการณ์ที่แตกต่างและเม็ดเงินที่จ่ายไปอย่างรอบคอบ อีกทั้งยังกล้าที่จะสำรวจจุดหมายปลายทางที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ไกลจากแผนที่การเดินทางทั่วไป เนื่องจากวันหยุดที่ยาวเป็นพิเศษ หรือที่เรียกว่า “ซูเปอร์ฮอลิเดย์” (Super Holiday) จึงทำให้ชาวจีนวางแผนเดินทางไกลขึ้น จากเดิมที่อาจเที่ยวแค่ในเอเชีย ก็เริ่มมองหาจุดหมายใหม่ ๆ ในยุโรป ตะวันออกกลาง หรือแอฟริกา ซึ่งอาจทำไม่ได้หากวันหยุดสั้นกว่านี้
วางแผนเร็ว เน้นความคุ้มค่า
หนึ่งในเทรนด์ที่โดดเด่นสำหรับ Golden Week ปีนี้ คือการที่นักท่องเที่ยวจีนหันมาวางแผนล่วงหน้าและจองทริปเร็วขึ้นกว่าปีก่อน ข้อมูลจาก Trip.com ระบุว่า ระยะเวลาจองล่วงหน้าโดยเฉลี่ยสำหรับการเดินทางไปต่างประเทศเพิ่มขึ้นประมาณหนึ่งสัปดาห์ เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
การวางแผนที่รัดกุมนี้เป็นผลมาจากการที่นักเดินทางต้องการใช้ประโยชน์จากวันหยุดที่ยาวนานขึ้น เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้รับดีลที่ดีที่สุดและได้ที่พักที่ต้องการ นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวจีนยังเน้นความคุ้มค่า โดยเลือกจุดหมายปลายทางและที่พักที่มอบกิจกรรมที่หลากหลายหรือบริการที่เพิ่มขึ้น เพื่อให้ได้รับประสบการณ์ที่น่าจดจำที่สุดในราคาที่เหมาะสม
อีกหนึ่งแนวโน้มที่น่าสนใจคือความต้องการที่พักทางเลือก (Alternative Stays) ที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด นักเดินทางไม่ได้จำกัดอยู่แค่โรงแรมแบบดั้งเดิมอีกต่อไป แต่แสวงหาประสบการณ์ที่ไม่ซ้ำใครผ่านการพักในโฮมสเตย์ เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ โฮสเทล และเรียวกัง กลุ่มที่ขับเคลื่อนเทรนด์นี้คือนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z ซึ่งให้ความสำคัญกับที่พักราคาย่อมเยา มีบรรยากาศแบบชุมชน เพื่อสัมผัสกับวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างแท้จริง ผลจากความนิยมนี้ทำให้ยอดจองโฮสเทลเพิ่มขึ้นถึง 240%
ขณะเดียวกัน ที่น่าสังเกตคือ ความต้องการเดินทางของกลุ่ม Luxury Travelers ยังคงพุ่งสูง โดยข้อมูลจาก Qunar Insights ระบุว่า กว่า 50% ของนักเดินทางกลุ่มนี้วางแผนจะใช้จ่ายมากกว่า 25,000 หยวน หรือราว 113,900 บาทต่อทริป เพื่อรับประสบการณ์ที่พิเศษเฉพาะตัว เห็นได้จากยอดจองที่พักระดับ 4 ดาวขึ้นไปที่เพิ่มขึ้น 45% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ตั๋วเครื่องบินชั้นธุรกิจและชั้นหนึ่งเพิ่มขึ้น 35% และการจองทัวร์กลุ่มส่วนตัวเพิ่มขึ้น 55%
ปักหมุดหมายใหม่ สำรวจโลกกว้าง
การเดินทางระยะใกล้ในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ของนักเดินทางชาวจีน โดยญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ยังคงเป็นตลาดขาออกอันดับหนึ่ง ขณะที่ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ก็ติดอันดับหนึ่งในห้าจุดหมายปลายทางยอดนิยม
ข้อมูลจาก Trip.com ระบุว่า นอกจากเมืองใหญ่อย่างโอซาก้า โตเกียว โซล ฮ่องกง และกรุงเทพฯ แล้ว นักท่องเที่ยวจีนจำนวนมากยังชื่นชอบไปเที่ยวเกาะและแสวงหาการพักผ่อนที่เน้นธรรมชาติมากขึ้น ซึ่งจุดหมายปลายทางที่เติบโตเร็วที่สุด ได้แก่ เกาะเซบู (ฟิลิปปินส์), ฟูก๊วก (เวียดนาม), โอกินาว่า (ญี่ปุ่น), และเกาะเจจู (เกาหลีใต้) ขณะที่เมืองอย่างฟุกุโอกะ ซิดนีย์ และมาเก๊า ก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีท่าเรือและสวนสาธารณะริมน้ำให้พักผ่อนหย่อนใจ
อย่างไรก็ตาม ด้วยช่วงวันหยุดที่ยาวนานเกินสัปดาห์ จึงจุดกระแสให้นักท่องเที่ยวจีนออกไปสำรวจจุดหมายปลายทางที่แปลกใหม่และไกลขึ้น เช่น ยุโรป แอฟริกา และตะวันออกกลาง ซึ่งหลายแห่งมีการเติบโตของยอดจองในระดับเลขสองและสามหลัก
ผลสำรวจพบว่า ในยุโรป เมืองที่ไม่ใช่เมืองหลวงเริ่มดึงดูดความสนใจนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้น นำโดยดึสเซลดอร์ฟ (เยอรมนี) ที่เติบโตขึ้นถึง 188% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ตามมาด้วยเมืองอื่น ๆ เช่น แฟรงก์เฟิร์ต โคเปนเฮเกน เอดินบะระ และโรม ส่วนในตะวันออกกลางมีการเติบโตที่น่าตื่นเต้นที่สุด นำโดยโดฮา (กาตาร์) ที่ยอดจองของนักท่องเที่ยวจีนขยายตัวถึง 441% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และอาบูดาบีเพิ่มขึ้น 229%
จุดหมายปลายทางในแอฟริกากำลังได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน โดยเฉพาะโจฮันเนสเบิร์ก (แอฟริกาใต้) ซึ่งมียอดจองเพิ่มขึ้น 232% ขณะที่เคนยาและแทนซาเนียก็เติบโตถึง 130% ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะชาวจีนมีความสนใจในมรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติของแอฟริกามากขึ้น ประกอบกับการเข้าถึงที่สะดวกขึ้นอันเนื่องมาจากโครงการ Belt and Road Initiative (BRI)
โอกาสและความท้าทายของไทย
สำหรับประเทศไทย Golden Week ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในการต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวนมหาศาล โดยข้อมูลจาก Trip.com ระบุว่า ประเทศไทยยังคงเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางระยะใกล้ที่ได้รับความนิยมสูงสุด โดยติดอันดับหนึ่งในห้าร่วมกับญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย และสิงคโปร์ นอกจากนี้ iClick Interactive ยังคาดการณ์ว่า มาเลเซีย ญี่ปุ่น และไทย เป็นจุดหมายปลายทางระยะสั้นที่เป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวกลุ่ม Luxury Travelers ที่มองหาประสบการณ์หรูหรา
ด้านกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานว่า ในช่วงสัปดาห์วันที่ 22-28 ก.ย. 2568 ซึ่งเป็นช่วงก่อนวันหยุดยาว มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางเข้ามามากเป็นอันดับสอง ด้วยจำนวน 79,047 คน และคาดว่าจำนวนจะเพิ่มขึ้นอีกในสัปดาห์วันที่ 29 ก.ย. – 5 ต.ค. 2568 เนื่องจากปัจจัยวันหยุด Golden Week
ขณะที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.), สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย รวมถึงสมาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ได้ร่วมกันหาแนวทางกระตุ้นตลาดจีน โดยจะมีการจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นฟูความเชื่อมั่น “Trusted Thailand”, กิจกรรมเฉลิมฉลองงานเทศกาลไหว้พระจันทร์ Amazing Thailand Mid-Autumn Night และการส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวในช่วง Golden Week ระหว่างวันที่ 26 ก.ย. – 8 ต.ค. ซึ่งได้เชิญ KOLs และ Influencer กว่า 100 คนเข้ามาในประเทศไทย เพื่อร่วมกิจกรรมและแคมเปญต่าง ๆ
อย่างไรก็ดี แม้ว่าประเทศไทยจะยังคงเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทาง Top 5 ในเอเชียตะวันออก แต่ในภาพรวม ต้องยอมรับว่า ไทยได้สูญเสียสถานะการเป็นจุดหมายปลายทางที่ห้ามพลาด และกลายเป็นเพียงหนึ่งในทางเลือกของนักท่องเที่ยวจีน ท่ามกลางความกังวลด้านความปลอดภัย จากปัญหาเรื่องการหลอกลวง อาชญากรรม และข่าวเชิงลบที่เผยแพร่ในจีนยังคงส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีน ทำให้หลายคนเลือกเดินทางไปที่อื่น ตลอดจนความสามารถในการแข่งขันด้านราคา โดยการแข็งค่าของเงินบาทได้กัดกร่อนความได้เปรียบของไทย ทำให้ต้นทุนการท่องเที่ยวสูงกว่าคู่แข่งสำคัญในภูมิภาค เช่น ญี่ปุ่น และเวียดนาม
Golden Week ปีนี้ถูกจับตาว่าเป็นปีแห่งการฟื้นตัวสำหรับการท่องเที่ยวขาออกของจีน ดังเห็นได้จากยอดจองเดินทางที่เติบโตคึกคัก และเป็นอีกครั้งที่ตอกย้ำบทบาทของจีนในฐานะแหล่งนักท่องเที่ยวรายใหญ่ของโลก ขณะที่ต้องรอดูว่า ประเทศไทยจะสามารถกลับไปอยู่บนแผนที่ที่นักเดินทางแดนมังกรเลือกปักหมุดเป็น “จุดหมายปลายทางที่ห้ามพลาด” ได้อีกหรือไม่ในปีต่อ ๆ ไป
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 ต.ค. 68)