
ธนาคารโลก (World bank group) ชี้ประเทศไทยกำลังเผชิญความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้น แต่การพัฒนาอย่างชาญฉลาดสามารถเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ ให้กับประเทศไทยได้ โดยรายงาน Country Climate and Development Report (CCDR) ฉบับล่าสุดของธนาคารโลก ระบุว่า การลงทุนอย่างทันท่วงที ทั้งในด้านการปรับตัวรับผลกระทบจากสภาพอากาศสุดขั้ว การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการส่งเสริมการส่งออกผลิตภัณฑ์สีเขียวจะช่วยให้ประเทศไทยบรรลุความมุ่งมั่นในการก้าวสู่การเป็นสังคมที่มีรายได้สูงอย่างถ้วนหน้าและยั่งยืน
ประเทศไทยต้องเผชิญภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วม อากาศร้อนจัด การขาดแคลนน้ำ และการกัดเซาะชายฝั่ง อาจทำให้ GDP ของประเทศไทยลดลง 7-14% ภายในปี 2593 หากยังไม่มีมาตรการปรับตัวอย่างจริงจัง แต่ในทางกลับกัน มาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เหมาะสมจะช่วยลดต้นทุนด้านพลังงานและการขนส่งทำให้ประเทศไทยมีความมั่นคงทางพลังงานมากขึ้น มีคุณภาพอากาศที่ดีขึ้น และมีขีดความสามารถด้านการแข่งขันทางเศรษฐกิจสูงขึ้น รายงานนี้ยังระบุด้วยว่า กลไกในการกำหนดราคาคาร์บอนควบคู่ไปกับการลงทุนจะทำให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2608
อย่างไรก็ตาม ความต้องการเทคโนโลยีสีเขียวที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกจะเป็นโอกาสที่สำคัญสำหรับประเทศไทย โดยปัจจุบันไทยเป็นผู้นำด้านการส่งออกเครื่องปรับอากาศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และส่งออกแผงโซลาร์เซลล์ราว 4% ของตลาดโลก รวมทั้งกำลังเติบโตเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า แต่การส่งออกผลิตภัณฑ์สีเขียวกลับมีสัดส่วนไม่ถึง 10% ของการส่งออกทั้งหมด ทั้งนี้ การลดอุปสรรคในการเข้าถึงตลาด การลดภาษีนำเข้าและเงินอุดหนุนที่บิดเบือนตลาด การพัฒนาทักษะแรงงาน และการสนับสนุนนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีในประเทศ จะเพิ่มการส่งออกผลิตภัณฑ์สีเขียว (Green Export) ได้อีก 2-3% ของ GDP ภายในปี 2573
“ความสามารถทางการแข่งขันของไทยในอนาคตขึ้นอยู่กับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนไปสู่การผลิตสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะทำให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่ การสร้างงานที่มีคุณภาพ และทำให้ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนในโลกคาร์บอนต่ำ นี่เป็นวาระที่ธนาคารโลกกำลังทำงานร่วมกับรัฐบาลและพันธมิตรผ่านโครงการ Building Thailand’s Future Today ซึ่งจัดขึ้นในช่วงเตรียมความพร้อมก่อนจะถึงการประชุมใหญ่ประจำปีของ IMF-World Bank Group ปี 2569 ซึ่งจะจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ” นางเมลินดา กู้ด ผู้อำนวยการธนาคารโลกประจำประเทศไทยและเมียนมา กล่าว
ประเทศไทยยังติดอันดับ 1 ใน 10 ประเทศที่มีความเสี่ยงเรื่องน้ำท่วมมากที่สุดในโลก โดยลุ่มน้ำเจ้าพระยาซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของประชากรกว่า 40% และสร้าง GDP ถึง 66% มีความเปราะบางเป็นพิเศษ การขาดแคลนน้ำในพื้นที่เกษตรและเขตอุตสาหกรรมสำคัญ รวมถึงเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จะรุนแรงยิ่งขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ การกัดเซาะชายฝั่งส่งผลกระทบกว่า 30% ของพื้นที่ชายฝั่ง ซึ่งอาจทำให้ประเทศไทยสูญเสียรายได้จากการท่องเที่ยวสูงถึง 1 พันล้านดอลลาร์ต่อปี ภายในช่วงกลางทศวรรษ 2583 นอกจากนี้อากาศร้อนจัดอาจลดประสิทธิภาพแรงงานในหลายภาคส่วนที่สำคัญลงอย่างมากด้วย
“การลงทุนในเรื่องการลดผลกระทบจากน้ำท่วม ความมั่นคงด้านน้ำ การปกป้องชายฝั่ง เกษตรกรรมอัจฉริยะด้านสภาพภูมิอากาศ และการลดความร้อนจะสามารถเพิ่ม GDP ได้ 2-3% ต่อปีภายในปี 2583 และ 4-5% ต่อปีภายในปี 2593 เมื่อเทียบกับสถานการณ์ที่ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติ รวมทั้งยังช่วยปกป้องประชาชนและลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ทั้งนี้ การยกระดับการคุ้มครองทางสังคมถือเป็นกุญแจสำคัญเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศให้กับกลุ่มที่เปราะบางที่สุด และยังช่วยตอบสนองความต้องการของพวกเขาหลังเกิดภัยพิบัติด้วย” นายคิม อลัน เอ็ดเวิร์ด นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส และผู้เขียนรายงานฉบับนี้ กล่าว
อย่างไรก็ดี ประเทศไทยจะต้องใช้เงินลงทุนที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศตลอด 25 ปีข้างหน้าเป็นจำนวน 219 พันล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 2.4% ของ GDP สะสมเพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านการปรับตัวและการลดการปล่อยก๊าซ แม้เงินลงทุนจะค่อนข้างสูง แต่รายงาน CCDR ชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยสามารถทำได้ผ่านกลไกการกำหนดราคาคาร์บอน ควบคู่ไปกับการปฏิรูปการจัดเก็บรายได้ภาครัฐ และการระดมทุนจากภาคเอกชน
ไทยพร้อมก้าวสู่ Net Zero ในปี 2593
นายพิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ประเทศไทยมีความพร้อมและมั่นใจในการมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 โดยได้มีการทำงานล่วงหน้ามาแล้วกว่า 1 ปี ก่อนรัฐบาลชุดปัจจุบันจะประกาศนโยบาย พร้อมผลักดันร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นกลไกสำคัญ
“ขอบคุณธนาคารโลก สำหรับรายงาน CCDR ซึ่งเป็นเหมือนภาพฉายที่ชี้ให้เห็นแนวทางและประเด็นสำคัญที่ประเทศไทยต้องดำเนินการในเชิงนโยบายเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” นายพิรุณ กล่าว
ความรุนแรงของผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย โดยยกตัวอย่างว่า ข้อมูลจากสหรัฐฯ ในช่วงปี 2523-2567 ที่ความถี่ของเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว (Extreme Weather) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากเฉลี่ย 9 ครั้งต่อปี เป็น 24 ครั้งต่อปีในช่วง 3 ปีหลังสุด ส่งผลให้มูลค่าความเสียหายพุ่งสูงขึ้นจากประมาณ 6.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี เป็น 1.84 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี
ในส่วนของประเทศไทย หากไม่มีการดำเนินการใด ๆ เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ก็คาดว่าจะเกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจราว 7-14% ของ GDP ซึ่งคิดเป็นมูลค่ามหาศาล ดังนั้นการไม่ลงมือทำโดยมองว่าเป็นเพียงการลดภาระในระยะสั้นนั้น ไม่ใช่แนวทางที่ยั่งยืน สิ่งที่ทั่วโลกกำลังมองหาคือทางออกที่นำไปสู่ความยั่งยืน
สำหรับเป้าหมาย Net Zero ในปี 2593 ไทยจะสามารถทำได้อย่างแน่นอน โดยมีหลายปัจจัยสนับสนุน อาทิ ในปี 2566 ประเทศไทยสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 175 ล้านตัน ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ถึง 10 ล้านตัน ขณะที่นโยบายของรัฐบาลชุดปัจจุบันก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างชัดเจน เช่น การพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้า (Early Warning System) โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อลดความสูญเสีย
ส่วนกฎหมายรองรับร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ก็ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว และจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ โดยมีทั้งกลไกเชิงบังคับและกลไกสนับสนุนควบคู่กันไป
นอกจากนี้อีกหนึ่งเสียงที่สำคัญคือเสียงของเยาวชน โดยเครือข่ายเยาวชนมีข้อเสนอสำคัญ 5 ข้อได้แก่
1.ต้องการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับอนาคตของเขา
2.การศึกษาด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Education) โดยเริ่มตั้งแต่เด็ก
3.จัดตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนกิจกรรมของเยาวชนในการทำงานร่วมกับภาครัฐและเอกชน
4.สร้างกลไกให้เยาวชนมีบทบาทในการทำงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่
5.เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เป็นหนึ่งในคำตอบสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน
“การจะบรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่นี้ได้ ไม่สามารถทำได้โดยคนคนเดียวหรือหน่วยงานเดียว แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และความยั่งยืนคือคำตอบเดียวที่จะทำให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้” นายพิรุณ กล่าว
นักวิชาการชี้ลงทุน Climate Adaptation ต้องหาเครื่องมือการเงินรูปแบบใหม่
น.ส.กรรณิการ์ ธรรมพานิชวงค์ หัวหน้ากลุ่มงานวิจัย สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ กล่าวถึงประเด็นการลงทุนเพื่อการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Adaptation) ว่า มีความท้าทายที่สำคัญ 2 ประการ คือ ความไม่แน่นอนของสภาพอากาศในอนาคต และการจัดหาแหล่งเงินทุน
การปรับตัวนั้นแตกต่างจากการลดก๊าซเรือนกระจก เพราะเป็นการเตรียมรับมือกับสภาพอากาศที่ไม่แน่นอนในอนาคต ทำให้ไม่สามารถใช้วิธีการพยากรณ์แบบเดิม ๆ ได้อีกต่อไป ดังนั้นแนวคิดที่ควรนำมาใช้คือ “Robust Decision Making” คือไม่ได้มุ่งหาทางออกที่ดีที่สุด เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าอากาศในอนาคตจะเป็นไปตามที่คาดการณ์หรือเปล่า แต่เป็นการหาแนวทางที่สามารถรับมือกับอนาคตที่เปลี่ยนแปลงไปได้หลากหลายรูปแบบ
นอกจากนี้ แนวทางการปรับตัวจะต้องทำให้เกษตรกรหรือภาคธุรกิจ มีอาชีพใหม่หรือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นต้องสร้างรายได้ในปัจจุบันให้ดีขึ้น เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกิดการปรับตัวด้วย
โดยประเด็นสำคัญคือ การปรับตัวมักมีลักษณะเป็นสินค้าสาธารณะ ซึ่งผลตอบแทนทางเศรษฐกิจไม่ชัดเจนและวัดผลได้ยาก โดยปกติภาคการเงินมักจะพิจารณาให้สินเชื่อหรือลงทุนในโครงการที่สามารถคำนวณผลตอบแทนที่ชัดเจนได้ แต่ประโยชน์ของการปรับตัวมักอยู่ในรูปแบบของการลดความสูญเสียในอนาคต ซึ่งเป็นสิ่งที่ภาคการเงินไม่คุ้นเคย
ทั้งนี้ จากการรวบรวมข้อมูลของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ พบว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการระดมทุนด้านการปรับตัว (Adaptation Funding) เพียงประมาณ 1.48 แสนล้านบาท ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับความต้องการ และยังคงมีช่องว่างทางการเงิน (Financing Gap) อีกเป็นจำนวนมาก
สิ่งที่น่ากังวลคือ เงินทุนส่วนใหญ่มาจากงบประมาณภาครัฐ และมักจะถูกนำไปใช้ในโครงการโครงสร้างพื้นฐานสีเทา (Gray Infrastructure) ขณะที่การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว (Green Infrastructure), Nature-based Solutions หรือการปรับตัวในระดับท้องถิ่นยังมีอยู่อย่างจำกัด
ดังนั้นเพื่อแก้ไขปัญหานี้ จำเป็นต้องมีแนวคิดและเครื่องมือทางการเงินรูปแบบใหม่ ๆ โดยต้องมีการขยายขอบเขตของ Taxonomy ที่ปัจจุบันเน้นเรื่องการลดก๊าซเรือนกระจก ให้ครอบคลุมและให้คำจำกัดความที่ชัดเจนสำหรับโครงการด้านการปรับตัวมากขึ้น นอกจากนี้ ควรมีเครื่องมือทางการเงินใหม่ ๆ เช่น Adaptation Bond หรือ Blended Finance ที่เป็นการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อทำให้ภาคการเงินเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการสนับสนุนโครงการด้านการปรับตัว
นักวิชาการเสนอแนวทางสร้างความมั่นคงด้านน้ำภายในปี 2573
นายสุจริต คูณธนกุลวงศ์ อาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ให้ข้อเสนอแนะเพื่อยกระดับความสำเร็จในการจัดการน้ำจากระดับชุมชนไปสู่ภาพรวมของประเทศ โดยชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนสำคัญ 2 ประการที่ต้องแก้ไข คือ
- ประการแรก แม้ประเทศไทยจะมี พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ ที่กำหนดให้มีแผนแม่บทระยะยาว แต่ในระดับจังหวัดกลับมีลักษณะเป็นแผนปฏิบัติการแบบปีต่อปี ทำให้การแก้ปัญหาระยะยาวยังไม่เกิดขึ้น ดังนั้นจึงเสนอว่าควรจะต้องทำแผนระยะยาวสำหรับจังหวัดด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับแผนระดับประเทศ
- ประการที่สอง การจะทำให้แผนขับเคลื่อนได้ในระดับพื้นที่ต้องอาศัย 3 องค์ประกอบหลัก คือ 1.มีกฎหมายรองรับ เพื่อให้เกิดการดำเนินการ 2.มีข้อมูลที่เข้าถึงระดับพื้นที่ได้จริง และ 3.ต้องเติมความรู้ให้ชุมชนสามารถนำไปใช้งานและพัฒนาต่อได้
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นงบประมาณ ที่ชุมชนต้องการงบประมาณที่ไม่ต้องมีจำนวนมากในครั้งเดียว แต่เป็นเงินที่ต่อเนื่อง 5 ปี เพื่อให้เกิดการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริงและแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ หากสามารถแก้ไขจุดอ่อนเหล่านี้และสร้างให้เป็นระบบได้ ปัญหาด้านน้ำของประเทศภายในปี 2030 ก็จะค่อย ๆ ผ่อนคลายลง และสามารถขยายผลความสำเร็จจากจุดเล็ก ๆ ให้ครอบคลุมทั่วประเทศได้
เลขาฯ สกพอ.แนะปลูกฝังความรู้ในห้องเรียนตั้งแต่เด็ก
ขณะที่นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ได้เสนอแนวคิดในการสร้างความมั่นคงด้านน้ำของประเทศไทย โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการให้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับน้ำแก่ประชาชนทุกคนตั้งแต่วัยเด็ก โดยเปรียบเทียบว่า คนญี่ปุ่นต้องเรียนรู้เรื่องแผ่นดินไหว คนไทยก็ควรมีหลักสูตรการเรียนรู้เรื่องน้ำตั้งแต่วัยประถม เพราะการปลูกฝังความรู้เรื่องการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพตั้งแต่เด็ก จะสร้างความรับผิดชอบที่ติดตัวไปจนโต
ทั้งนี้ เชื่อว่า เมื่อประชาชนมีความเข้าใจเรื่องน้ำอย่างถ่องแท้ จะนำไปสู่การจัดการปัญหาได้ดียิ่งขึ้น ทั้งปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้ง และการมีความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการอยู่กับน้ำ การใช้น้ำ และการทำให้น้ำเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ถือเป็นความรับผิดชอบต่อตัวเองและต่อสังคม ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการแก้ปัญหาเรื่องน้ำของประเทศ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (03 ต.ค. 68)