
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการแก้ไขซ่อมแซมถนนสามเสนบริเวณหน้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาล ซึ่งเกิดทรุดตัวเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 24 กันยายน 2568 ที่ผ่านมาว่า จากการลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้า พบว่า ทางคณะทำงานตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงของอาคารและบริเวณโดยรอบ กรณีเหตุภัยพิบัติถนนทรุดตัวบริเวณถนนสามเสนทั้งสองฝั่ง ตั้งแต่แยกวชิรพยาบาลถึงแยกซังฮี้ เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ได้ประเมินสภาพอาคาร สน.สามเสน ที่เกิดการทรุดตัวและมีรอยแตกร้าวเพิ่มขึ้นแล้ว เห็นควรให้รื้อถอนอาคาร สน.สามเสน ทันที ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็มีความเห็นให้รื้อถอนอาคาร สน.สามเสน เช่นเดียวกัน โดยคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญสูงสุด
อย่างไรก็ดี การรื้อถอนอาคารนี้อาจส่งผลให้การดำเนินงานคืนผิวจราจรต้องยืดระยะเวลาออกไปจากแผนเดิม ดังนั้น กระทรวงคมนาคม และ กทม. ต้องขออภัยประชาชนที่คืนผิวจราจรล่าช้าด้วย ทั้งนี้ จะมีการประเมินสถานการณ์ความคืบหน้าเพื่อหาข้อสรุปกรอบระยะเวลามาชี้แจงโดยเร็ว
สำหรับการดำเนินงานรฟม. และผู้รับจ้างงานโยธาโครงการฯ ได้ปรับแผนการดำเนินงานให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ที่จำกัดอย่างมากเพื่อความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานทุกคน โดยการรื้อถอนอาคาร สน.สามเสน จะดำเนินการจากโครงสร้างฝั่งซ้ายของอาคารก่อน (ติดกับแยกวชิรพยาบาล) ด้วยเทคนิคการรื้อถอนที่ระมัดระวัง ใช้เครนที่มีแขนยาวขึ้นเพื่อใช้รื้อโครงสร้างจากชั้นบนไล่ระดับลงล่าง ร่วมกับการใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์ (Robot) ในการตัดโครงสร้าง เช่น ผนังและคอนกรีต เพื่อหลีกเลี่ยงแรงสั่นสะเทือนที่อาจส่งผลกระทบต่ออาคารและโรงพยาบาล
ขณะที่พื้นที่ฝั่งขวาของอาคาร สน.สามเสน จะชะลอการรื้อถอนโครงสร้างอาคารไว้ก่อน เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานเร่งทำ Grouting โดยใช้สารเคมีเฉพาะทางเพื่อปรับปรุงสภาพของชั้นดินด้านล่างให้มีเสถียรภาพมากขึ้น และเมื่อดำเนินการทำ Grouting แล้วเสร็จ จึงจะกลับมาถมทรายเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 4 เมตร ก่อนปูยางเพื่อคืนผิวจราจรต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของการดำเนินงานสร้างคืนอาคาร สน.สามเสน จะอยู่ในความรับผิดชอบของผู้รับจ้างงานโยธาโครงการฯ
นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคม ได้จัดตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงแล้ว เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา เพื่อร่วมกันตรวจสอบหาสาเหตุที่แท้จริงของเหตุการณ์นี้ ทั้งนี้ ขอรอให้ทราบเหตุที่แท้จริงก่อน จึงจะสามารถบอกได้ โดยหากข้อเท็จจริงปรากฏว่า เป็นความผิดพลาดของผู้รับจ้างงานโยธาโครงการฯ ก็ต้องมีความรับผิดชอบตามสัญญา ซึ่งกระทรวงคมนาคมจะติดตามอย่างใกล้ชิดและแจ้งข้อเท็จจริงให้สาธารณชนได้รับทราบต่อไป ในส่วนของรถไฟฟ้าสายที่เปิดให้บริการแล้ว ขอให้ประชาชนมั่นใจได้ว่ามีการกำกับการให้บริการให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย โดยผู้รับสัมปทาน/ผู้ประกอบการเดินรถทุกรายได้มีการตรวจสอบในทุกๆ เช้า ก่อนการเปิดให้บริการเดินรถอยู่แล้ว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 ต.ค. 68)