
นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวถึงการแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาตามแนวทางของกองทัพที่จะปิดด่านจนกว่ากัมพูชาจะไม่เป็นภัยคุกคามว่า ในเรื่องของด่านชายแดนที่ปัจจุบันยังมีการปิดอยู่ ซึ่งการปิดด่านเป็นหนึ่งในมาตรการที่เกิดขึ้นหลังจากที่มีความขัดแย้ง ซึ่งฝ่ายไทยพยายามใช้มาตรการทางเศรษฐกิจบีบกัมพูชาเพื่อให้การเจรจาการพูดคุยสามารถเดินต่อไปได้ แต่ที่ผ่านมาแม้จะปิดด่านมาเป็นเวลานาน แต่การเจรจาพูดคุยกันด้วยดีไม่ได้เกิดขึ้น เพราะรายได้ส่วนใหญ่ของกัมพูชาไม่ได้ได้มาจากการค้า แต่ได้มาจากสแกมเมอร์
ดังนั้น ถ้าอยากแก้ปัญหาเหล่านี้จำเป็นจะต้องชูหลักการ 3 ข้อ ตามที่ไทย คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ได้มีการเน้นย้ำ ไม่ว่าจะเป็นการกวาดทุ่นระเบิดร่วมกันการถอนอาวุธหนักการปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ทุกรูปแบบ ถ้ามีข้อตกลงที่ชัดเจน และมีรูปธรรม และแสดงให้เห็นถึงความจริงใจการที่จะพูดคุยเพื่อผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ อาจจะเกิดขึ้นได้ แต่จะต้องนำไปสู่การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีผ่าน 3 ข้อขั้นต้นก่อน
นายรังสิมันต์ กล่าวอีกว่า วันนี้เรื่องชายแดนทุกอย่างยากไปหมด เพราะเราไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดี ด่านชายแดนเป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประเทศ แต่เมื่อเกิดเหตุแบบนี้ก็ต้องปิดด่านก็จะเกิดผลกระทบกับประชาชนที่ได้ประโยชน์จากการเปิดด่าน ดังนั้นจึงไม่สามารถมองการแก้ปัญหาไปเพียงแค่การเปิดหรือปิดด่าน แต่ต้องเอาปัญหาทุกอย่างที่ทำให้ความสำคัญของทั้งสองประเทศมารวมกันแล้วเคลียร์ให้จบ
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ตนจึงเสนอว่า การปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์เป็นคีย์สำคัญในการคลี่คลายเรื่องนี้ จนเกิดการตั้งคำถามว่า ไปทุบหม้อข้าวเขาแล้วจะมีความสัมพันธ์ที่ดีอย่างไร ตนก็ตั้งคำถามกลับไปว่า ตราบใดที่เขามีหม้อข้าวอันนั้นแล้ว ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คนไทยจำนวนมากถูกหลอก เส้นเงินไหลไปที่กัมพูชา เราจะรู้สึกดีกับเขาได้อย่างไร เช่นเดียวกันถ้าเงินตรงนี้ยังมีอยู่ ความสัมพันธ์การค้าขายระหว่างประเทศก็ไม่เกิดขึ้นได้ จึงอยากเสนอว่า ทั้งหมดต้องแก้ไขไปพร้อม ๆ กันไม่สามารถแยกออกจากกันได้
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 ต.ค. 68)