
นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมการค้าภายใน ได้จัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สภาเภสัชกรรม สมาคมเภสัชกรรมชุมชน สมาคมผู้ประกอบการร้านยารวมใจไทย สมาคมร้านขายยา และผู้ประกอบการร้านขายยารายใหญ่ทั่วประเทศ อาทิ Pharmax, Icare, Super Drug, Fascino, Save Drug, ร้านยากรุงเทพ, Pure Pharmacy (ในเครือบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์), Exta Plus (ในเครือซีพี ออลล์), Boots, Tops Care และร้านยาโลตัส

รวมทั้งผู้ให้บริการจำหน่ายยาผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ (Applications) ได้แก่ Telehealth, ยาพร้อม, PharmCare, AskMacy by Fascino, ร้านยากรุงเทพ, All Pharmacy และ BIGYA ในการขับเคลื่อนโครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า” โดยให้ประชาชนมีสิทธิ์สอบถามราคายาก่อนการชำระเงิน และสามารถนำใบสั่งยาจากโรงพยาบาลไปเลือกซื้อยาในช่องทางที่จำหน่ายยาภายนอกโรงพยาบาล เพื่อเปรียบเทียบราคา และตัดสินใจได้ด้วยตนเอง ซึ่งเป็นยกระดับระบบสุขภาพของประชาชนให้มีมาตรฐานเดียวกันกับโรงพยาบาลเอกชน และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านยาให้กับประชาชนในวงกว้าง
โครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า” จะเปิดให้ลงทะเบียน “ร้านยาสุขกาย สบายกระเป๋า” ตั้งแต่วันที่ 14 ต.ค.68 เป็นต้นไป โดยมี สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เป็นผู้รับลงทะเบียน และให้ผู้ประกอบการประเมินตนเองตามมาตรฐานที่กำหนด
ร้านยาที่เข้าร่วมโครงการ จะต้องให้บริการทั้งแบบออนไซต์ และเทเลฟาร์มาซี (Telepharmacy) โดยเภสัชกรวิชาชีพที่เป็นสมาชิกของสภาเภสัชกรรม ซึ่งสภาฯ จะเป็นผู้กำกับดูแลขั้นตอนการให้บริการ และอยู่ระหว่างการพัฒนาแพลตฟอร์มกลาง และแอปพลิเคชันร่วมกับ อย. เพื่อให้ประชาชนสามารถค้นหาตำแหน่งร้านยา “สุขกาย สบายกระเป๋า” ใกล้บ้านได้ รวมถึงสามารถปรึกษาเภสัชกรผ่านช่องทางออนไลน์ และส่งใบสั่งยาเพื่อรับคำแนะนำได้โดยตรง
สำหรับร้านยาที่เข้าร่วมโครงการนี้ จะต้องมีมาตรฐานด้านคุณภาพ และความปลอดภัย เทียบเท่ากับโรงพยาบาลเอกชน ทั้งในกระบวนการจัดเก็บยา การให้บริการ และการให้คำปรึกษา โดยประชาชนสามารถมั่นใจได้ว่าจะได้รับยาคุณภาพในราคาที่เหมาะสม
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 7 ต.ค.68 กรมการค้าภายใน ได้ประชุมร่วมกับเครือโรงพยาบาลเอกชน เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าร่วมโครงการ โดยได้รับความร่วมมืออย่างดีจากโรงพยาบาลเอกชนทั่วประเทศ ซึ่งสมัครใจเข้าร่วมด้วยความตั้งใจที่จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ป่วย และเพิ่มทางเลือกในการเข้าถึงยาอย่างเป็นธรรม ปัจจุบัน มีโรงพยาบาลเอกชนเข้าร่วมแล้วรวม 10 เครือ ครอบคลุมทั้งประเทศ
“ขณะนี้ทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานรัฐ โรงพยาบาลเอกชน ร้านขายยา และแพลตฟอร์มออนไลน์ มีความพร้อมร่วมกัน เพื่อขับเคลื่อนระบบสุขภาพที่โปร่งใส เป็นธรรม และยั่งยืน ให้คนไทยสามารถเข้าถึงยาคุณภาพในราคาที่เหมาะสมได้จริง โดยระบบใหม่นี้ ทำให้คนไทยไม่ต้องเลือกระหว่างคุณภาพกับราคาอีกต่อไป แต่ได้ทั้ง 2 อย่าง พร้อมสิทธิ์ในการตัดสินใจด้วยตัวเอง” อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 ต.ค. 68)