
ตลาดหุ้นยุโรปปิดลดลงในวันศุกร์ (10 ต.ค.) หลังความกังวลเรื่องสงครามการค้ากลับมาอีกครั้งจากคำขู่เก็บภาษีจีนรอบใหม่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ขณะที่นักลงทุนยังคงมุ่งความสนใจไปที่สถานการณ์การเมืองในฝรั่งเศส
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 564.16 จุด ลดลง 7.15 จุด หรือ -1.25%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,918.00 จุด ลดลง 123.36 จุด หรือ -1.53%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,241.46 จุด ลดลง 369.79 จุด หรือ -1.50% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,427.47 จุด ลดลง 81.93 จุด หรือ -0.86%
ดัชนี STOXX 600 ปิดลบหลังร่วงลงระหว่างวันหนักที่สุดในรอบกว่าหนึ่งเดือน หลังทรัมป์ขู่ว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนในระดับสูง ขณะที่ตลาดหุ้นสำคัญในยุโรปเกือบทั้งหมดร่วงลงมากกว่า 1% ยกเว้นตลาดหุ้นอังกฤษและสเปน
นักวิเคราะห์รายหนึ่งกล่าวว่า คำพูดของทรัมป์ไม่เป็นประโยชน์ต่อทิศทางตลาด เราเพิ่งผ่านช่วงที่เลวร้ายที่สุดของความกังวลเรื่องภาษีไปได้ไม่นาน แต่ตอนนี้ต้องกลับมาเผชิญรอบใหม่อีกครั้ง และน้ำเสียงของเขาก็แข็งกร้าวอย่างชัดเจน
หุ้นกลุ่มยานยนต์ของยุโรปปรับตัวลงแรง โดยตลอดสัปดาห์นี้ดิ่งลงกว่า 9% กลายเป็นกลุ่มที่ทำผลงานแย่ที่สุด โดยหุ้น Ferrari และ BMW ร่วงหนัก ขณะที่หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคซึ่งมักถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนคล้ายพันธบัตร กลับกลายเป็นกลุ่มที่ทำผลงานดีที่สุดในสัปดาห์นี้
นักลงทุนยังให้ความสนใจสถานการณ์ในฝรั่งเศส หลังประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง เร่งหานายกรัฐมนตรีคนใหม่ ท่ามกลางคำเตือนจากธนาคารกลางฝรั่งเศสว่า ภาวะชะงักงันทางการเมืองเริ่มกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปรับตัวลง 2% ในสัปดาห์นี้ หลังตลาดร่วงลงตั้งแต่วันจันทร์ เมื่อ เซบาสเตียน เลอกอร์นู นายกรัฐมนตรีคนที่ห้าในรอบสองปีของฝรั่งเศส ยื่นลาออกพร้อมคณะรัฐมนตรีเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังประกาศรายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่
ในช่วงต้นสัปดาห์ ดัชนี STOXX 600 เคยพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากความหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะผ่อนคลายนโยบายการเงิน และแรงหนุนจากกระแสความเชื่อมั่นในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) แต่แรงบวกนั้นหายไปเมื่อความไม่แน่นอนทางการเมืองในฝรั่งเศสและญี่ปุ่น รวมถึงความเสี่ยงจากการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนหันไปถือสินทรัพย์ปลอดภัยแทน
หุ้นเกือบทุกกลุ่มร่วงลง โดยกลุ่มเทคโนโลยีและสินค้าหรูนำการปรับตัวลง ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานก็ถูกเทขายเช่นกัน หลังราคาน้ำมันลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบหลายเดือน หลังอิสราเอลและฮามาสตกลงขั้นแรกของแผนยุติสงครามในกาซา
หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวขึ้น 0.2% หลังร่วงต่อเนื่อง 4 วัน ส่วนกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้น 0.3% ทำสถิติบวกต่อเนื่องเป็นวันที่สี่
กลุ่มทรัพยากรพื้นฐานลดลง 2.5% โดยหุ้น ArcelorMittal ร่วง 5.8% หลัง Goldman Sachs ปรับลดคำแนะนำลงทุนจาก “ซื้อ” เป็น “ถือ”
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 ต.ค. 68)