ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 587.98 จุด คลายกังวลการค้าจีน-สหรัฐฯ

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นในวันจันทร์ (13 ต.ค.) ขณะที่ดัชนี Nasdaq และ S&P500 ปิดในแดนบวกเช่นกัน โดยหุ้น Broadcom และหุ้นบริษัทผลิตชิปรายอื่น ๆ พุ่งขึ้นนำตลาด เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดด้านการค้า หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ มีท่าทีอ่อนลงกับจีน

  • ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 46,067.58 จุด เพิ่มขึ้น 587.98 จุด หรือ +1.29%,
  • ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,654.72 จุด เพิ่มขึ้น 102.21 จุด หรือ +1.56% และ
  • ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 22,694.61 จุด เพิ่มขึ้น 490.18 จุด หรือ +2.21%

บรรยากาศการซื้อขายในตลาดได้รับแรงหนุน หลังจากสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เปิดเผยกับสถานีโทรทัศน์ Fox Business Network ว่า ปธน.ทรัมป์ยังคงมีกำหนดการพบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน นอกรอบการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) ที่เกาหลีใต้ในช่วงสิ้นเดือนนี้ หลังจากทั้งสองฝ่ายมีการติดต่อสื่อสารกันอย่างจริงจังและสามารถลดระดับความตึงเครียดลงได้อย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ เบสเซนต์เปิดเผยว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ยังคงเป็นไปในทางที่ดี และมาตรการภาษี 100% ที่ปธน.ทรัมป์ประกาศว่าจะเรียกเก็บจากจีนนั้น อาจไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้น พร้อมกับเสริมว่า เจ้าหน้าที่จีนและสหรัฐฯ จะมีการหารือกันที่กรุงวอชิงตันในสัปดาห์นี้ นอกรอบการประชุมประจำปีของธนาคารโลก (World Bank) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)

ข่าวดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวล หลังจากเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (9 ต.ค.) จีนได้ประกาศมาตรการคุมเข้มการส่งออกแร่หายากและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการผลิตแร่หายาก ส่งผลให้ปธน.ทรัมป์ออกมาตอบโต้ด้วยการประกาศเก็บภาษี 100% สำหรับสินค้าจีนทั้งหมด และคุมเข้มการส่งออกซอฟต์แวร์สำคัญ โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. อย่างไรก็ดี ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (12 ต.ค.) ปธน.ทรัมป์มีท่าทีอ่อนลง โดยเขากล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “ทุกอย่างจะเป็นไปในทางที่ดี และสหรัฐฯ ไม่ต้องการทำร้ายจีน”

หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยพุ่งขึ้น 2.47% และ 2.29% ตามลำดับ ส่วนหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและกลุ่มเฮลธ์แคร์ปรับตัวลง 0.36% และ 0.1% ตามลำดับ

หุ้นบริษัทเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยหุ้น Broadcom พุ่งขึ้น 9.8% หลังประกาศเป็นพันธมิตรกับ OpenAI เพื่อผลิตชิปประมวลผล AI สำหรับใช้ภายในองค์กรของ OpenAI ขณะที่หุ้น Nvidia พุ่งขึ้น 2.8% และหุ้น Micron Technology พุ่งขึ้น 6.1% ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนดัชนีหุ้นเซมิคอนดักเตอร์ที่ตลาดหุ้นฟิลาเดลเฟีย (PHLX Semiconductor Index) พุ่งขึ้นเกือบ 5%

หุ้น Oracle พุ่งขึ้น 5.1% หลังจากบริษัทโบรกเกอร์ 2 รายปรับเพิ่มเป้าหมายราคาหุ้น Oracle ซึ่งเป็นผู้ให้บริการคลาวด์ด้าน AI

ส่วนหุ้น Estee Lauder พุ่งขึ้น 5.8% หลังจากนักวิเคราะห์ของ Goldman Sachs ได้ปรับเพิ่มคำแนะนำการลงทุนในหุ้น Estee Lauder สู่ระดับ “Buy” จากระดับ “Neutral”

นักลงทุนจับตารายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน เพื่อประเมินผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากรที่จะมีต่อบริษัทในวอลล์สตรีท โดยในวันนี้ (14 ต.ค.) จะเป็นการรายงานผลประกอบการของธนาคาร JPMorgan Chase , Goldman Sachs , Citigroup และ Wells Fargo

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาสถานการณ์ชัตดาวน์หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด โดยการชัตดาวน์เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 ต.ค. และยังไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันจะสามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับการผ่านร่างงบประมาณชั่วคราว โดยล่าสุดมีรายงานว่า รัฐบาลทรัมป์ได้เลิกจ้างพนักงานจำนวนหลายสิบคนที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ซึ่งรวมถึงนักระบาดวิทยาและนักวิทยาศาสตร์อาวุโส

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 ต.ค. 68)