
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตลาดนัดหลังกระทรวงการคลัง เพื่อติดตามสถานการณ์การเปิดลงทะเบียนร้านค้าวันแรก ในโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” ว่า เบื้องต้น คาดว่าจะมีร้านค้าเข้าร่วมโครงการไม่ต่ำกว่า 9 แสนร้านค้า ซึ่งใกล้เคียงกับจำนวนร้านค้าที่เคยเข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่ง” เฟส 5 ที่เคยเปิดดำเนินการไปก่อนหน้านี้ แต่มีร้านที่ Active ข้อมูลอยู่ราว 1 แสนร้านค้า ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้มีเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจราว 88,000 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งมาจากงบประมาณที่รัฐบาลช่วยสมทบ 44,000 ล้านบาท และอีกส่วนมาจากการใช้จ่ายของประชาชนอีก 44,000 ล้านบาท
ส่วนความกังวลใจจากบรรดาร้านค้า เรื่องการเปิดเผยข้อมูล และการถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง จนทำให้ไม่อยากเข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” นั้น นายเอกนิติ ยืนยันว่า ข้อมูลทั้งหมดที่อยู่ในโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” จะเป็นข้อมูลระบบปิดเป็นความลับ ไม่มีการรั่วไหล ไม่มีการส่งข้อมูลให้ใครหรือหน่วยงานใดอย่างแน่นอน เพื่อความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมโครงการทั้งหมด ดังนั้น ข้อมูลการค้าขายในโครงการฯ จึงไม่สามารถนำออกมาได้ แม้แต่กรมสรรพากรเอง ก็ไม่สามารถมาดึงข้อมูลตรงนี้ไปได้เช่นกัน
ส่วนเรื่องการเสียภาษีนั้น อยากชี้แจงว่า การเสียภาษีเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล ซึ่งเมื่อมีรายได้ถึงเกณฑ์ก็จะต้องเสียภาษีเป็นปกติอยู่แล้ว
“ไม่อยากให้กังวลเรื่องภาษี และไม่อยากให้ประชาชนเป็นห่วงเรื่องนี้ เพราะข้อเท็จจริงแล้ว เมื่อมีรายได้ถึงเกณฑ์ ก็เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่จะต้องเสียภาษี เช่นเดียวกับโครงการคนละครึ่ง พลัส ที่รัฐบาลได้ให้แรงจูงใจสำหรับประชาชนที่อยู่ในระบบภาษี 11 ล้านคน จะได้รับวงเงินมากกว่า และโครงการนี้ ก็มาจากภาษีของคนไทยเช่นกัน ดังนั้นหน้าที่ในการเสียภาษีจึงเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน” นายเอกนิติ ระบุ

พร้อมกันนี้ ได้เชิญชวนร้านค้า และผู้ประกอบการ ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” เพราะจะช่วยกระตุ้นยอดขายให้กับร้านค้า โดยร้านค้าที่อยู่ในระบบของโครงการคนละครึ่งเดิม และยังมีการ Active ข้อมูลเป็นประจำ สามารถเข้าไปที่แอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” เพื่อกดปุ่มยอมรับเงื่อนไข และเข้าโครงการคนละครึ่ง พลัส ในฐานะร้านค้าได้ทันที
ส่วนร้านค้าที่ยังไม่เคยอยู่ในโครงการคนละครึ่ง จะต้องเตรียมบัตรประชาชน รูปถ่ายร้านค้า และยืนยันตัวตนได้ที่สำนักงานเขต กระทรวงมหาดไทยในกรณีอยู่ต่างจังหวัด หลังจากนั้น นำหลักฐานไปยังธนาคารกรุงไทย (KTB) เพื่อให้ธนาคารกรุงไทยยืนยันว่ามีตัวตนจริง และมีร้านค้าจริง โดยภายใน 3 วันหลังตรวจสอบข้อมูลครบถ้วน จะเข้าไปอยู่ในแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ได้ทันที

ทั้งนี้ ร้านค้าที่ประสงค์เข้าร่วมโครงการ สามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค.-19 ธ.ค.68 ส่วนประชาชนทั่วไป จะเปิดให้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการตั้งแต่วันที่ 20-26 ต.ค.68 ตั้งแต่เวลา 06.00-22.00 น. และเริ่มใช้จ่ายได้ตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค.-31 ธ.ค.68 ตั้งแต่เวลา 06.00-23.00 น.

สำหรับบริการขนส่งสาธารณะ ก็สามารถเข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” ได้ด้วยเช่นกัน โดยกลุ่มวินมอเตอร์ไซต์รับจ้าง จะต้องมีใบขับขี่สาธารณะถูกต้อง ซึ่งขณะนี้ กระทรวงการคลังได้ทำการเชื่อมโยงข้อมูลกับกระทรวงคมนาคมเรียบร้อยแล้ว เช่นเดียวกับฟู้ดเดลิเวอรี่ ซึ่งขณะนี้มี 4 แพลตฟอร์มที่สนใจเข้าร่วมโครงการด้วย และพร้อมจะให้สิทธิประโยชน์กับผู้ใช้บริการในโครงการ เช่น ลดค่าบริการที่ร้านค้าต้องจ่ายให้กับแพลตฟอร์ม (ค่า GP) ให้เป็นพิเศษ เพื่อให้เกิดการแข่งขันกันมากขึ้น
ขณะที่ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในการลงทะเบียนของร้านค้าวันแรก เพื่อร่วมโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” เท่าที่รับข้อมูลมาก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เนื่องจากวันนี้เป็นการลงทะเบียนวันแรกในส่วนของผู้ขาย ซึ่งไม่จำกัดจำนวน คงไม่ได้มีปัญหาอะไรมาก
สิ่งที่รัฐบาลมุ่งหวัง คือ อยากจะขอเชิญชวนให้ร้านค้าต่าง ๆ มาช่วยกันกระตุ้นเศรษฐกิจและรับสิทธิ์ของท่าน ในการรับโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” ซึ่งทราบว่าบรรยากาศการค้าขายตลอด 2 ปีที่ผ่านมาค่อนข้างซบเซา โดยโครงการนี้ รัฐบาลหวังว่าจะทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้เพิ่มขึ้น ดีขึ้นในระยะสั้น
“หากท่านไม่เข้าร่วม เพราะกลัวว่าจะไปโดนเก็บภาษีย้อนหลังนั้น ก็อาจจะทำให้ท่านเสียโอกาส ซึ่งทางรัฐบาล ยืนยันว่า รายการซื้อขายที่เกิดขึ้นในระหว่างโครงการคนละครึ่ง พลัส สำหรับคนที่เข้าร่วมโครงการฯ จะไม่ถูกส่งไปที่กรมสรรพากรอย่างแน่นอน” โฆษกรัฐบาล ระบุ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 ต.ค. 68)