บัวหลวง ชี้หุ้นสหรัฐจ่อปรับฐาน Q4/68 เปิดโอกาสเก็บของก่อนวิ่งต่อ แนะใช้ DR ลุย “หุ้น AI-จีนดีพเทค”

นายพีรณัฐ ยืนยงพิสิฐ หัวหน้าส่วนธุรกิจหลักทรัพย์ต่างประเทศ บล.บัวหลวง กล่าวในงานสัมมนา “จับจังหวะลงทุน ทองก็รุ่ง หุ้นก็ปัง” โดยวารสารการเงินธนาคาร ในหัวข้อ “หุ้นนอกแรงทะลุจอ Go Global ด้วย DR” ว่า ในปี 68 ตลาดหุ้นต่างประเทศปรับตัวขึ้นได้ค่อนข้างดี ทั้ง ตลาดหุ้นเวียดนาม ตลาดหุ้นฮ่องกง โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งช่วง 5-6 เดือนที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตามมองแนวโน้มตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในไตรมาส 4/68 มีโอกาสปรับฐานลงมา ซึ่งเป็นโอกาสการเข้าลงทุน โดยมองว่าการปรับฐานของตลาดหุ้นสหรัฐฯ มาจาก 3 ปัจจัย คือ สถานการณ์ชัตดาวน์รัฐบาลกลางสหรัฐชั่วคราว ทำให้ไม่สามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้, สถานการณ์สงครามการค้ารอบใหม่ระหว่างสหรัฐฯ และจีน หลังจีนเล็งควบคุมการส่งออกแร่หายาก และสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจีน 100% ในวันที่ 1 พ.ย. นี้ อย่างไรก็ตามต้องติดตามการพบกันของผู้นำทั้ง 2 ประเทศ ในการประชุม APEC ที่จะเกิดขึ้น ว่าจะได้ข้อสรุปอย่างไร อีกทั้งภาคแรงงานสหรัฐที่อ่อนแอสะท้อนจากตัวเลขจ้างงานติดลบและตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่สูงขึ้น

จากทั้ง 3 ประเด็น เป็นปัจจัยกดดันให้ตลาดหุ้นสหรัฐปรับฐานในไตรมาส 4/68 แต่ก็มองว่าการปรับฐานครั้งนี้ไม่น่าลึกมาก เป็นการเปิดโอกาสให้นักลงทุนเข้าถึงการลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ประกอบกับในปี 69 มองตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มขาขึ้น โดยได้แรงหนุนจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง ซึ่งคาดวว่าในปีนี้ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 1-2 ครั้ง และปี 69 ปรับลดต่อ 2-3 ครั้ง

ขณะที่หุ้นเทคโนโลยี และ AI ของสหรัฐที่ปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง มองว่ายังมีถึงขั้นเกิดฟองสบู่ แม้จะปรับตัวขึ้นมามากแต่เมื่อพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐาน เช่น อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) แล้ว ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่สูงจนเกินไปเมื่อเทียบกับในอดีต และหากมีการปรับฐานลงมา ก็จะยิ่งทำให้ราคาหุ้นมีความน่าสนใจมากขึ้น

สำหรับตลาดหุ้นจีน เศรษฐกิจจีนในภาพรวมยังคงเผชิญกับความท้าทายจากปัญหาโครงสร้างในประเทศที่ต้องใช้เวลาในการแก้ไข แต่รัฐบาลจีนก็มีแนวโน้มที่จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ซึ่งการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสจีนในเดือนนี้ คาดจะมีการออกนโยบายที่สนับสนุนเทคโนโลนี โดยเฉพาะ Deep Technology ทั้ง AI และ Semiconductor สำหรับตลาดหุ้นจีนแนะลงทุนกลุ่มที่รัฐบาลให้การสนับสนุน

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ แนะลงทุนแบบ “Core & Satellite” โดยจัดสรรเงินลงทุนส่วนใหญ่ประมาณ 70-80% ในการลงทุนผ่านดัชนีในหลายๆ ประเทศ เพื่อสร้างการเติบโตที่มั่นคงในระยะยาว และจัดสรรเงินลงทุนส่วนที่เหลือ (Satellite) ในการลงทุนในหุ้นรายตัวที่มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น โดยนักลงทุนสามารถลงทุนในหุ้นและดัชนีต่างประเทศเหล่านี้ได้สะดวกผ่านผลิตภัณฑ์ Depositary Receipt (DR) ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันได้รับความนิยมจากนักลงทุนชาวไทยเป็นอย่างมาก โดยปัจจุบันมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 5 หมื่นล้านบาทแล้ว

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ต.ค. 68)