
นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะผู้เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 เพิ่มเติมหมวด 15/1 ในนามพรรคประชาชน ซึ่งเป็นร่างหลักการพิจารณาในชั้นคณะกรรมาธิการฯ กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ นัดแรกจะมีขึ้นในวันจันทร์ที่ 20 ต.ค. 68 เวลา 14.00 น. โดยจะพิจารณาเรื่องกรอบระยะเวลาเป็นหลัก เพราะกรรมาธิการต้องทำงานอย่างเต็มที่ให้เสร็จสิ้นภายใน 2 เดือน เพื่อส่งกลับมายังสภาพิจารณาต่อในวาระ 2 และ วาระ 3 ให้ทันตามกรอบเวลา และทำประชามติพร้อมกับการเลือกตั้งได้ทัน
นายพริษฐ์ เชื่อว่าการพิจารณาจะดำเนินไปด้วยดี ต้องนำประเด็นทั้งหมดที่แต่ละฝ่ายเห็นต่างกัน มาแลกเปลี่ยนความเห็นและหาข้อสรุปในแต่ละประเด็นก่อน จากนั้นจึงค่อยพิจารณาข้อความในแต่ละมาตรา ว่าจะต้องปรับปรุงหรือไม่
อย่างไรก็ดี ตัวแปรสำคัญตอนนี้ คือ พ.ร.บ.ประชามติฉบับใหม่ ปัจจุบันอยู่ระหว่างรอโปรดเกล้าฯ ซึ่งคาดว่าจะทราบผลแน่ชัดในวันที่ 3 พ.ย.นี้ และหากได้รับการโปรดเกล้าฯ ก็จะเดินหน้าตามไทม์ไลน์ คือ ผ่านวาระ 3 ช้าสุดกลางเดือน ม.ค. 69 แต่เราอยากให้ผ่านภายในปลายเดือน ธ.ค. 68 ซึ่งแปลว่าวาระ 2 จะต้องเข้ากลางเดือนธ.ค.68 ถ้าเป็นเช่นนั้นกรรมาธิการจะมีเวลาพิจารณา 2 เดือนเต็ม แต่ถ้าเร็วกว่านั้นได้ก็จะดี
ส่วนเรื่องคำถามประชามตินั้น นายพริษฐ์ กล่าวว่า คำถามไม่มีอะไรที่ซับซ้อน ถ้าหากร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังพิจารณากันอยู่นี้ ผ่านวาระ 3 ประชามติรอบแรกก็จะมี 2 คำถาม ซึ่งถูกกำหนดไว้ในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว ดังนั้นคำถามไม่มีอะไรที่ซับซ้อน แต่เวลานี้สิ่งที่สำคัญ คือให้เรามีร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวด 15/1 ผ่านวาระ 3 ได้ทัน และมีเนื้อหาที่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน
ส่วนข้อกังวลเกี่ยวกับที่มาของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) อาจขัดคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้อาจมีการยื่นฟ้องและจะส่งผลให้กระบวนการล่าช้าออกไปนั้น นายพริษฐ์ ยืนยันว่า สิ่งที่เสนอไม่ได้ขัดคำวินิจฉัยของศาล เพราะศาลระบุเพียงแค่ว่า “ไม่ให้ประชาชนเลือกผู้ร่างโดยตรง” เราจึงเลือกผู้ร่างโดยอ้อม จึงคิดว่าไม่มีอะไรที่ขัดคำวินิจฉัยของศาล แต่ทั้งนี้ก็ต้องรับฟังความเห็นอีกครั้งหนึ่ง
ส่วนจะมีคนไปร้องศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น นายพริษฐ์ ระบุว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าใครจะเดินไปร้องก็ได้ เพราะจะต้องมี 2 ขั้นตอน คือ 1. ต้องอาศัยมติเสียงข้างมากของรัฐสภา ถ้าหากไม่ได้มติตรงนี้ ใครจะไปร้องได้ จึงควรใช้กลไกของฝ่ายนิติบัญญัติ และกรรมาธิการมาช่วยกันตรวจสอบให้เนื้อหารอบคอบ และวินิจฉัยกันว่าขัดหรือไม่ขัดคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอย่างไร และ 2. หากผ่านวาระ 3 ไปแล้ว สส.หรือ สว. มีสิทธิ์ไปร้องได้ โดยอาศัยเสียง 1 ใน 10 แต่นั่นคือปลายทางแล้ว แต่เมื่อถึงจุดนั้นหวังว่าทุกคนจะเห็นตรงกันว่าไม่มีอะไรที่ขัดคำวินิจฉัยของศาล
สำหรับข้อกังวลเรื่องการแก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 อาจทำให้ถูกคว่ำในวาระ 3 ได้นั้น นายพริษฐ์ ชี้แจงว่า รัฐธรรมนูญปี 2560 ได้เปิดให้แก้ไขถ้อยคำในหมวดดังกล่าวได้ หากผ่านการทำประชามติก่อน จึงไม่ถือเป็นการล้มล้างการปกครอง และการปรับถ้อยคำบางส่วนในอนาคตอาจจำเป็นเพื่อให้สอดคล้องกับหมวดอื่น ๆ โดยไม่กระทบสาระสำคัญของระบอบการปกครอง จึงเห็นว่าไม่ควรหยิบยกเรื่องนี้มาเป็นประเด็น เพื่อมาโจมตีกัน
นายพริษฐ์ กล่าวว่า การพิจารณาในวาระ 3 จำเป็นต้องอาศัยเสียงสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ซึ่งเชื่อว่าคณะกรรมาธิการจะสามารถอธิบายเหตุผล และสร้างความเข้าใจกับ สว.ได้ พร้อมย้ำว่าทุกฝ่ายต้องหาสมดุล ระหว่างความเห็นของสังคมกับข้อพิจารณาทางกฎหมาย เพื่อให้ได้ร่างรัฐธรรมนูญที่ประชาชนเห็นชอบร่วมกันในที่สุด
“ไม่ว่ารัฐสภาจะเห็นชอบร่างแบบไหนออกมา ก็ต้องไปถามประชาชนในการทำประชามติ ถ้าหากร่างที่ทำมาไม่ตอบโจทย์ ประชาชนก็มีโอกาสที่จะไม่ผ่านประชามติ จึงอยากให้สมาชิกรัฐสภา ตระหนักว่าควรมีร่างที่ประชาชนจะเห็นชอบด้วย” นายพริษฐ์ กล่าว
ชี้พรรคประชาชน ควรได้นั่งเก้าอี้ประธานกมธ.ฯ
ส่วนการเสนอชื่อประธานกรรมาธิการฯ นายพริษฐ์ มองว่า เมื่อใช้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชนเป็นร่างหลัก ประธานก็ควรมาจากพรรคประชาชน ซึ่งจะมีการเสนอชื่อนายณัฐวุฒิ บัวปทุม สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน หากมีพรรคอื่นเสนอเข้ามาด้วย ก็ต้องลงมติ แต่เชื่อว่าไม่ได้เป็นอุปสรรคในการทำงาน สิ่งที่สำคัญกว่าตัวประธาน คือ เนื้อหาสาระ เพราะมีหลายประเด็นที่ยังเห็นต่างกันอยู่ ดังนั้นจึงต้องหาข้อสรุปในประเด็นที่เห็นต่างให้เร็วที่สุด
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ต.ค. 68)