
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ จวกกุสตาโว เปโตร ปธน.โคลอมเบีย ว่าเป็น “ผู้นำค้ายาเสพติด” พร้อมประกาศว่า สหรัฐฯ จะระงับการมอบความช่วยเหลือทั้งหมดแก่โคลอมเบีย และจะออกมาตรการภาษีชุดใหม่เพื่อเป็นการลงโทษโดยจะประกาศอัตราภาษีในวันจันทร์ (20 ต.ค.) ถือเป็นการยกระดับความตึงเครียดอย่างรุนแรงกับหนึ่งในพันธมิตรด้านความมั่นคงที่ใกล้ชิดที่สุดของสหรัฐฯ ในลาตินอเมริกา
ทรัมป์อ้างว่า การค้ายาเสพติดได้กลายเป็นธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในโคลอมเบีย และกล่าวโจมตีปธน.เปโตรว่าไม่ได้ทำอะไรเพื่อหยุดยั้งเลย แม้จะได้รับเงินสนับสนุนจากสหรัฐฯ มานานหลายปี พร้อมทั้งระบุผ่านโซเชียลมีเดียเมื่อวันอาทิตย์ (19 ต.ค.) ว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เงินช่วยเหลือเหล่านี้…จะไม่มีอีกต่อไป” และต่อมาในช่วงค่ำวันเดียวกัน ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวบนเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวันว่า โคลอมเบียเป็น “เครื่องจักรผลิตยาเสพติด”
ตลอดศตวรรษที่ 21 นี้ โคลอมเบียได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ ไปแล้วประมาณ 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงความช่วยเหลือมูลค่า 500 ล้านดอลลาร์ตั้งแต่ปี 2560 ในการยกระดับกองทัพ การเก็บกู้ทุ่นระเบิด และปฏิบัติการต่อต้านยาเสพติด
การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจากการตัดสินใจของทรัมป์ในเดือนก.ย.ที่จะถอนการรับรองสถานะของโคลอมเบียในฐานะพันธมิตรต้านยาเสพติด ซึ่งทำให้โคลอมเบีย ซึ่งเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ มาอย่างยาวนาน ถูกลดระดับลงไปอยู่ในกลุ่มเดียวกับเวเนซุเอลา โบลิเวีย อัฟกานิสถาน และเมียนมา โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางการแพร่ระบาดของโคเคนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยส่วนใหญ่มีต้นกำเนิดจากโคลอมเบีย
อย่างไรก็ตาม ปธน.เปโตรได้ตอบโต้ผ่านเอ็กซ์ (X) โดยระบุว่า ทรัมป์กำลังถูกบรรดาที่ปรึกษาหลอก พร้อมยืนยันว่า ตนได้ดำเนินการมากกว่าผู้นำคนใด ๆ ในการเปิดโปงความเชื่อมโยงระหว่างผู้ค้ายาเสพติดกับชนชั้นนำทางการเมืองของโคลอมเบีย
ทั้งนี้ ปธน.เปโตร ซึ่งไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งใหม่ได้เมื่อวาระการดำรงตำแหน่งสิ้นสุดลงในเดือนส.ค.ปีหน้า ได้พยายามรวบรวมแนวร่วมฝ่ายซ้ายเพื่อผลักดันวาระของตนเองต่อไป โดยสร้างภาพให้ทรัมป์เป็นคู่ขัดแย้ง และวางตำแหน่งตนเองเป็นผู้นำของกลุ่มแนวคิดหัวก้าวหน้าระดับโลก
นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ของทั้งสองยิ่งแย่ลงไปอีกในเดือนก.ย. เมื่อปธน.เปโตรเรียกร้องให้ทหารสหรัฐฯ ขัดขืนคำสั่งของทรัมป์ ระหว่างการประท้วงสนับสนุนปาเลสไตน์ที่สหประชาชาติ (UN) ซึ่งนำไปสู่การที่สหรัฐฯ ยกเลิกวีซ่าของปธน.เปโตร
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 ต.ค. 68)